Ratchanee Meebaila

วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ตำนานรักอมตะของสองเชื้อชาติแห่งดินแดนล้านนา ซึ้งมากๆ

           ความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม แต่ภายในความสวยงามนี้กลับซ่อนไว้ซึ้งความทุกทรมารความเจ็บปวด การรอคอย........ คนรักกลับมา คำมั่นสัญญาที่ให้กันไว้ในวันที่ต้องพลัดพราก เรื่องราวของความรักที่อมตะจะเป็นอย่างไรนั้นเชิญทุกท่านติดตามได้เลยค่ะ

ตำนานรักอมตะ เจ้าน้อยสุขเกษมและมะเมี๊ยะ ต่างเชื้อชาติวรรณะ ...อมตะสะเทือนใจ
รูปภาพ เจ้าน้อยสุขเกษม แห่งล้านนา
        เจ้าอุตรการโกศล น้อยศุขเกษม ณ เชียงใหม่ หรือ เจ้าน้อยศุขเกษม ราชโอรสองค์ใหญ่ใน พลตรีเจ้าแก้วนวรัฐ สมรสกับ เจ้าหญิงบัวชุม ณ เชียงใหม่ พระญาติในราชวงศ์เจ้าเจ็ดตน

ภาดาและภคินีตามลำดับต่อไปนี้
1. เจ้าอุดรการโกศล (น้อยสุขเกษม)
2. เจ้าหญิงบัวทิพย์
3. เจ้าราชบุตร (วงษ์ตะวัน) (ลำดับ 1-3 เกิดแต่แม่เจ้าจามรี)
4. เจ้าพงษ์อิน
5. เจ้าหญิงศิริประกาย
6. เจ้าอินทนนท์ (ลำดับ 4-6 เกิดแต่หม่อมเขียว)
       ตอนนั้นเชียงใหม่เป็นประเทศราชของสยาม ทางเชียงใหม่ส่ง เจ้าดารารัศมี ซึ่งเป็นเจ้าอาของเจ้าน้อย
ไปอภิเษกกับ ร. 5 เป็นการผูกสัมพันธ์ ตอนนั้นเจ้าดารารัศมีอายุแค่ 13 เ อง...
เจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่สิ้นชีวิตในปี 2440 ลูกสาวที่ถูกเรียกลงเป็นเจ้าจอมที่บางกอกเมื่ออายุได้ 13 ปี (พ.ศ. 2430) คือเจ้าดารารัศมีก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาเผาศพพ่อ และแผ่นดินเชียงใหม่ก็ไม่มีเจ้าผู้ครองนครเพราะสยามไม่แต่งตั้งผู้ใด นั่นคือช่วงปี พ.ศ. 2441 - 2442
ขออันเชิญพระฉายา เจ้าน้อย ศุขเกษม ชายหนุ่ม รูปงาม และใจงาม
พ.ศ. 2441 เจ้าน้อยถูกส่งไปเรียนที่ รร.เซนต์แพทริก เป็น รร.แคธอลิกของฝรั่งที่พม่า โดยแอบส่งไป ขี่ช้างไป เพราะตอนนั้นพม่าเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษซึ่งมีเรื่องกับไทยอยู่
เจ้าน้อยไปตอนอายุ 15 เพราะทางบ้านต้องการให้ได้ภาษาอังกฤษ เพราะค้าขายกับอังกฤษในพม่า
เจ้าน้อยได้พบมะเมียะแม่ค้าสาวสวย ซึ่งเพิ่งมาจากตองอู เจ้าน้อยอายุ 19 มะเมียะอายุ 15 ก็ตัดสินใจแต่งงานกัน
จนอายุ 20 เจ้าน้อยเรียนจบถูกเรียกกลับเชียงใหม่ เจ้าน้อยเลยเอาเมียกลับมาด้วย โดยให้ปลอมเป็น
เด็กรับใช้ชาย เอาเมียไปแอบในเรือนเล็ก โดยไม่รู้เลยว่าเจ้าพ่อเจ้าแม่ได้หมั้นเจ้าหญิงบัวนวล ธิดาของเจ้าสุริยวงษ์ (คำตัน สิโรรส) ให้เป็นคู่หมั้นของเจ้าน้อยฯ เป็นการภายในตั้งแต่ปีที่เจ้าน้อยฯ เดินทางไปศึกษาเล่าเรียนในเมืองพม่า เจ้าน้อยไม่ยอมแต่งงาน เลยเปิดเผยว่ามีเมียแล้วคือมะเมียะ เอามะเมียะมากราบเจ้าพ่อเจ้าแม่แต่ไม่ได้รับการยอมรับ ปัญหาใหญ่ในขณะนั้น คือเจ้าน้อยเป็นผู้ที่ได้รับการคาดหวังว่าจะได้รับตำแหน่งเจ้าหลวงองค์ถัดไปจากเจ้าอินทวโรรสสุริยวงษ ซึ่งเป็นพระเจ้าลุง เรื่องนี้ไปถึงสยาม ร. 5 กับพระราชชายาเจ้าดารารัศมีเห็นว่าไม่ควร เลยส่งผู้สำเร็จราชการมาเจรจา บอกว่าเจ้าน้อยจะมีเมีย กี่คนไม่ใช่ปัญหาแต่ต้องไม่ใช่สาวพม่า เพราะว่าคนพม่า ถือสัญชาติอังกฤษ เดี๋ยวอังกฤษจะถือโอกาสแทรกแซง ว่าแต่งกะพม่า ก็ต้องถือว่าเป็นพม่าด้วย (ช่วงนั้นมีการต่อสู้กันเรื่องดินแดนฝั่งซ้าย-ขวาแม่น้ำโขง) ที่สำคัญเจ้าน้อย เป็นเจ้าชายของเชียงใหม่ ถูกวางตัวไว้ให้เป็นเจ้าอุปราชเชียงใหม่ เท่ากับว่าสยามอาจต้องเสียเชียงใหม่ให้อังกฤษ ก็เลยบังคับส่งมะเมียะกลับพม่า (ไปส่งกันที่ประตูหายยา)
เจ้าน้อยฯ ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าภายใน เดือนจะกลับไปหามะเมียะให้จงได้ นางจึงคุกเข่าลงกับพื้น ก้มหน้า สยายผมออกเช็ดเท้าเจ้าน้อยฯ ด้วยความอาลัยหา ก่อนที่เธอจะขึ้นไปบนกูบช้าง
เมื่อกลับไปถึงเมืองมะละแหม่งแล้ว มะเมียะได้มอบเงินทองจำนวนหนึ่ง (ซึ่งเจ้าแก้วนวรัฐและเจ้าแม่จามรีมอบให้นางก่อนเดินทางกลับเป็นการปลอบขวัญ) แก่พ่อแม่และน้อง
จากนั้นนางได้แต่เฝ้ารอคอยเจ้าน้อยฯ จนครบกำหนด เดือนที่ท่านได้รับปากไว้ แต่กลับไร้วี่แววใดๆ
มะเมียะจึงตัดสินใจเข้าพึ่งใต้ร่มพุทธจักร ครองตนเป็นแม่ชีเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ว่านางยังซื่อสัตย์ ต่อความรักที่มีต่อเจ้าน้อยศุขเกษม
          หลังจากที่มะเมียะทราบข่าวการเข้าพิธีมงคลสมรส ระหว่างร้อยตรีเจ้าอุตรการโกศล (ยศของเจ้าน้อยฯ ในขณะนั้น) กับเจ้าหญิงบัวชุม ณ เชียงใหม่ (เจ้าหญิงบัวนวลถอนหมั้นไปแล้ว)
(เจ้าหญิงบัวนวลพระคู่หมั้นของเจ้าน้อย)
         แม่ชีมะเมียะจึงเดินทางมายังเมืองเชียงใหม่และขอเข้าพบเจ้าน้อยฯ เป็นครั้งสุดท้าย เพื่อแสดงความยินดีกับชีวิตที่กำลังรุ่งโรจน์ องค์อดีตสวามีผู้เป็นที่รัก ก่อนที่ตนจะตัดสินใจครองตนเป็นแม่ชีไปตลอดชีวิต แต่เจ้าน้อยศุขเกษมผู้ยึดสุราเป็นที่พึ่งดับความกลัดกลุ้มอันเกิดจากความรักอาลัยในตัวมะเมียะ ชีวิตที่ไม่เคยมีความสุขในชีวิตสมรส ท่านไม่สามารถหักห้ามความสงสารที่มีต่อมะเมียะได้ จึงไม่ยอมลงไปพบแม่ชีมะเมียะตามคำขอร้อง เพียงแต่มอบหมายให้เจ้าบุญสูง พี่เลี้ยงคนสนิท นำเงินจำนวน ๘๐ บาท ไปมอบให้กับแม่ชีมะเมียะเพื่อใช้ในการทำบุญ พร้อมกับมอบแหวนทับทิมประจำกายอีกวงหนึ่งเป็นตัวแทนของเจ้าน้อยฯ ให้กับแม่ชีมะเมียะ
          เจ้าน้อยหลังจากกันกับแม่ชีคราวนั้น.....ก็เอาแต่กินเหล้าไม่มีใจรักเจ้าบัวชุม ในที่สุดก็ตรอมใจตายหลังจากแต่งงานได้ไม่กี่ปีในขณะที่อายุแค่ 33 ปีในบันทึกบอกว่าสิ้นพระชนม์ด้วยโรคพิษสุรา อีก 6 ปีต่อมาหลังจากพบแม่ชีมะเมี้ยครั้งสุดท้าย ส่วนแม่ชีมะเมี้ยะ... บวชจนสิ้นอายุขัยเสียชีวิตในวัย 75 ปี ใน พ.ศ.2505
           ผู้บันทึกเรื่องนี้คือ เจ้าบัวนวล คู่หมั้นคนแรกที่ถอนหมั้นไปหลังจากรู้ว่าเจ้าน้อยมีมะเมี้ยะ... ส่วนเจ้าบัวชุมไม่ผิดอะไรเลย แต่สามีไม่รักก็อยู่เป็นข้าบาทจาริกาจนอายุ 81 ปี เจ้าบัวนวลกล่าวไว้ว่า ตลอดชีวิตเจ้าน้อยรักผู้หญิงคนเดียวจนสิ้นลม คือ มะเมี๊ยะ หลังจากนั้นเรื่องของเจ้าน้อยกับมะเมียะก็ถูกสั่งห้ามพูดถึงไปหลายปีเพราะเป็นเรื่องทางการเมือง ต้องปิดบัง รายละเอียดเลยหายไป



          กู่เจ้านายฝ่ายเหนือ หรือ สุสานราชตระกูล ณ เชียงใหม่ เป็นสุสานหลวงที่ เจ้าดารารัศมี



พระราชชายาใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โปรดฯ ให้อัญเชิญรวบรวมพระบรมอัฐิ พระอัฐิ ของผู้ครองนครเชียงใหม่
มาประดิษฐานรวมกัน ณ บริเวณลานวัดสวนดอกวรมหาวิหาร แห่งนี้
ซึ่งรวมถึงกู่ของเจ้าน้อยศุขเกษมด้วย
มีคำบอกเล่ากันว่า กู่เล็กๆ ที่ไม่มีชื่อ ในบริเวณนี้คือกู่ของมะเมียะ
หมายเหตุ


(รูปภาพ มะเมี๊ยะ)


- "หมะเมียะ" ภาษาพม่าแปลว่ามรกต; หมะ คือคำนำหน้านาม เมียะ คือชื่อ ค่ะ
- เจ้าเมืองเชียงใหม่สมัยราชวงศ์กาวิละ (เจ้าเจ็ดตน)
        ในปลายรัชสมัยของ สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระปิยะมหาราช
เจ้าน้อยศุขเกษม ราชบุตรองค์ใหญ่ซึ่งประสูตรจากเจ้าหญิงจามรี
รัชทายาทของเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่
ซึ่งไปศึกษาต่อที่เมืองมะระแหม่งตั้งแต่อายุได้ เพียง ๑๕ ปี
และได้ใช้เวลาอยู่ ณ ต่างด้าวต่างแดนถึง ๕ ปีเต็มๆ
เจ้าน้อยศุขเกษมเป็นชายหนุ่มรูปงาม
ซึ่งชาวพม่า มอญ ยกย่องสรรเสริญความงามของหม่อมเจ้าน้อยศุขเกษมเสียเลิศลอย




" พิศโฉมและฟังเสียง ละก็เพียงจะขาดใจ
โอ้นอนจะหลับไหล ฤาฉะนี้นะอกเอ๋ย
ขืนนอนก็ร้อนเร่า ฤดีเฝ้าคนึงเชย
หากขืนจะนอนเฉย อุระอาจพังภินทร์ "



เจ้าน้อยศุขเกษมได้พบรักกับสาวชาวเมืองมะระแหม่งนางหนึ่ง
มีนามว่า "มะเมี๊ยะ"
ขณะนั้นมะเมี๊ยะเป็นเพียงแม่ค้าสาวชาวพม่า
หน้าตาพริ้มเพราได้พบกับเจ้าน้อยศุขเกษมครั้งแรกเมื่ออายุเพียง 16 ปี
ขณะนั้นมะเมี๊ยะเป็นเพียงแม่ค้าขายบุหรี่ในตลาดเมืองมะระแหม่ง

" ขนตายาวราวปีกคลีของผีเสื้อ
มองไม่เบื่อจูงใจไปจำหลัก
ตาคมซึ้งตรึงอุระดังชะนัก
เป็นรอยปักแนบแน่นแก่นชีวิต "

เมื่อทั้งสองได้พบกันจึงเกิดเป็นความรัก ได้อยู่กินกันฉันท์สามีภรรยาเรื่อยมา และในวันพระทั้งสองจะพากันไปทำบุญที่วัดในเมืองมะระแหม่งอยู่เสมอ ณ ที่ลานพระบรมธาตุศักดิ์สิทธิ์-ปูชนียสถานเก่าแก่ดั้งเดิม
คู่บ้านคู่เมืองของเมืองมะระแหม่งนั้นเอง ทั้ง สองหนุ่มสาวซึ่งได้ครองรักเยี่ยงสามีภริยากันหลังจากติดต่อกันไม่นานได้นั่งหมอบเคียงคู่ให้สัตย์ ปฏิญาณสาบานต่อกันว่า จะซื่อตรงจงรักไม่แปรผันชั่วชีวิตดับ
ทั้งเจ้าหนุ่มและมะเมี๊ยะสาวน้อย ผู้ยังไม่ เดียงสาต่อโลกและชีวิต เฝ้าแต่เพียงว่า
รูปมะเมี๊ยะ ตอนแรกก็หาบ่เจอ พอตอนหลังเจอรูปวาดตามคำเปิ้นบอกเล่ามา ของคนพม่า จะไดเปิ้นก็เป๋นแม่ญิงตี้งามแต้ๆเน้อ..

" สิ่งกีดขวางระหว่างชนสองคนเพศ
ใช้เส้นเขตขีดรอบเป็นขอบขันธ์
ใช้สัญชาติ, ศาสน์, เหล่าหรือเผ่าพันธ์
แต่สิ่งนั้นคือศักดิ์ที่รักดี "

เมื่อถึงกำหนดการที่จะต้องเดินทางกลับเชียงใหม่ ซึ่งเจ้าน้อย เพิ่งจะมีอายุครบ 20 ปี จึงได้ตัดสินใจให้มะเมี๊ยะ ปลอมตัวเป็นชายติดตามขบวน เพื่อกลับไปยังเมืองเชียงใหม่ ในฐานะเพื่อนหนุ่มชาวพม่า
โดยหารู้ไม่ว่า เจ้าพ่อและเจ้าแม่ได้หมั้นหมายเจ้าหญิงบัวนวลธิดาของเจ้าสุริยวงศ์ ให้เป็นคู่หมั้นของเจ้าน้อย ตั้งเมื่อเจ้าน้อยเดินทางไปศึกษาที่เมืองพม่า หลังจากที่ต้องแอบซ่อนมะเมี๊ยะไว้ในบ้านหลังเล็ก
ที่เจ้าพ่อและจ้าวแม่จัดเตรียมเป็นที่พักมาแล้วหลายวัน ในที่สุดเจ้าน้อยจึงตัดสินใจบอกความจริงกับเจ้าพ่อและเจ้าแม่ และเจ้าน้อยรู้ดีว่า แม้ท่านทั้งสองจะมิได้เอ่ยคำใด แต่คงไม่ยอมรับให้มะเมี๊ยะเป็นศรีสะใภ้แน่นอน เนื่องจากเจ้าน้อย ได้รับการคาดหมายว่าจะได้รับตำแหน่งเจ้าหลวงองค์ถัดไป หากเจ้าน้อยเลือกมะเมี๊ยะเป็นภรรยา ประชาชนย่อมอึดอัดใจในการยอมรับมะเมี๊ยะผู้เป็นหญิงต่างชาติมาดำรงสถานะภรรยาของเจ้าเมืองอย่างแน่นอน อันเชื้อสายราชวงศ์ของเจ้าสุริยะนั้น สืบเชื้อ สายมาจากเจ้าฟ้าเชียงตุงที่ลี้ภัยจากพม่า มาแต่ปลายสมัยรัชกาลที่ ๑ เจ้าฟ้าเชียงตุงองค์นี้เป็นไทยเขินละทิ้งราชบัลลังก์มาตั้ง
นิวาสถานอยู่ในเชียงใหม่ ส่วนเจ้าหญิง สุคนธาภริยาเจ้าสุริยะ เป็นธิดาของเจ้าราช- บุตร (สุริยะวงศ์) ซึ่งก็เป็นโอรสของพระเจ้า มโหตรประเทศราชา เจ้าผู้ครองนคร เชียงใหม่องค์ที่ ๕ สถานการณ์ในขณะนั้นน่าวิตกยิ่งเนื่องจากอังกฤษได้แผ่อิทธิพลไปทั่วเอเซียตะวันออกเฉียงใต้มะเมี๊ยะเป็นคนในบังคับของอังกฤษ
และอาศัยอยู่ในคุ้มของอุปราช อาจเป็นปัญหาที่ใหญ่โตทางการเมืองได้ในภายหลัง ในที่สุดเจ้าพ่อและเจ้าแม่จึงยื่นคำขาดให้เจ้าน้อย ส่งตัวมะเมี๊ยะกลับเมืองมะระแหม่ง เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับบ้านเมือง เจ้าศุขเกษมถึงน้ำตาตลอหลังจากแน่นิ่งฟังเจ้าพ่อเจ้าแม่ ความคิดภายในสับสนบอกไม่ถูก
เมื่อคิดถึงประเพณีกับความรัก พลางโพล่งออกมาว่า

"มะเมี๊ยะไม่ได้ทำร้ายใคร
ไม่ได้ลบหลู่ใครมะเมี๊ยะเป็นคนดี
ข้าเจ้ารักมะเมี๊ยะ มะเมี๊ยะเป็นหัวใจของข้าเจ้า
ข้าเจ้าเป็นหัวใจของมะเมี๊ยะ
เราเคยสาบานกันต่อหน้าพระธาตุมะระแหม่งว่า
ถ้าใครทรยศต่อรักแล้ว
ขอให้อายุสั้น
ข้าเจ้ารักมะเมี๊ยะเจ้าแม่ "

แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่เป็นผลดั่งใจเจ้าน้อย เนื่องจากปัญหาบ้านเมืองนั้นน่าวิตกยิ่ง มะเมี๊ยะได้ถูกเกลี้ยกล่อมให้กลับไปรอเจ้าน้อยที่เมืองมะระแหม่ง มิฉะนั้น บ้านเมืองอาจเดือดร้อนนางได้
เอ่ยขึ้นด้วยความเสียใจ และยอมจากไป เพื่อไม่ให้คนที่ตนรักได้รับความเดือดร้อน

"มะเมี๊ยะเห็นใจเจ้าแล้ว
มะเมี๊ยะต้องจากเจ้าไป
ตลอดชีวิตของมะเมี๊ยะจะไม่ขอเป็นของใครอีก
มะเมี๊ยะจะเป็นของเจ้าคนเดียวเท่านั้น
มะเมี๊ยะมีใจเดียวรักเดียว
จะขอรอเจ้าจวบจนชีวิตดับ"

เสียงมะเมี๊ยะขาดห้วงลงเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอหอยมิให้พูดต่อไปอีกเจ้าศุขเกษมดึงร่างมะเมี๊ยะกระชับเข้ามาอีก แล้วคร่ำครวญเป็นภาษาพม่าอย่างชัดถ้อยชัดคำ

"สุดที่รักของฉัน ฉันเกิดมามีกรรม
เราเคยสาบานกันว่าใครทรยศต่อรักขออย่าให้อายุยืนยาว
แล้วฉันก็ต้องทำลายเธอ
ทำลายชีวิตเธอทางอ้อมขอกลับไปรอฉันที่บ้านเถิด
หากฉันมีบุญวาสนาในวันหน้า
ฉันจะไปรับเธอกลับมาอยู่เชียงใหม่จนได้
มะเมี๊ยะจ๋า ฉันจะรักเธอจนวันตาย"

แล้ววันนั้นก็มาถึง วันที่ถูกพลัดพรากจากกันจนชั่วชีวิต มันเป็นเช้าของเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๔๖ ณ ประตูเมืองที่เนืองแน่นไปด้วยผู้คน ที่อยากเห็นโฉมหน้าของมะเมี๊ยะ ที่ลือกันว่างามนักหนา
บรรยากาศเต็มไปด้วยความหดหู่และเศร้าหมอง เมื่อเจ้าน้อยพูดภาษาพม่ากับมะเมี๊ยะได้ไม่กี่คำ นางผู้มีใจรักมั่น ได้ร่ำไห้ด้วยความอัดอั้นตันใจ ในอ้อมแขนที่ยากจะจากกันได้ เวลานั้นก็ล่วงเลยไปมากแล้ว เจ้าน้อยได้รับปากกับมะเมี๊ยะว่า ตนจะยึดมั่นในคำปฏิญานที่ให้ไว้ต่อหน้าพระพุทธรูป จนกว่าชีวิตจะหาไม่
หากท่านนอกใจมะเมี๊ยะ โดยสมรสกับหญิงอื่น ขอให้ชีวิตของตนประสพแต่ความทุกข์ทรมานใจ แม้แต่อายุ ก็จะไม่ยืนยาว เจ้าน้อยได้ให้คำมั่นสัญญาว่า ภายในเดือน จะกลับไปหามะเมี๊ยะให้จงได้ แม้จะขึ้นไปบนช้างแล้วก็ตาม มะเมี๊ยะก็ขอลงมาหาเจ้าน้อยอีกจนได้ เธอคุกเข่าลงกับพื้นก้มหน้า สยายผมออกเช็ดเท้าสามีด้วยความรักอาลัย เรียกน้ำตาของเจ้าน้อยไหลลงนองสองแก้ม แล้วก็โผเข้ากอดรัดกันอีก เหตุการณ์ต่อหน้าต่อตาที่คาดไม่ถึง ทำให้ประชาชนทั้งชายหญิงที่มีจิตใจไม่เข้มแข็ง กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เหมือนกัน ท้าวบุญสูงต้องอึดอัดใจอย่างยิ่ง เพราะไหนจะปลอบใจให้มะเมี๊ยะกลับขึ้นไปบนหลังช้าง
ไหนมะเมี๊ยะจะดึงดันกลับลงมาอีก เป็นหนที่สองวิ่งเข้าสู่อ้อมกอดเจ้าน้อยอีก กว่าขบวนจะออกเดินทางได้ก็เลยกำหนดเวลาไปนานอักโข เจ้าน้อยยืนเหม่อมองดูจุดเล็กๆ ที่ขยับเขยื้อนเหลียวมองด้านหลังจากบนหลังช้างนั้นตลอดเวลา จนลับจากสายตาจึงยอมกลับสู่คุ้ม ประชาชนชาวเชียงใหม่ ไม่มีโอกาสประสบพบเห็นความรักต่างแดน อันลงเอยด้วยความโศกสลดรันทดใจมาก่อน และไม่มีโอกาสจะพบเห็นได้อีกแล้วในประวัติศาสตร์ของเวียงพิงค์ เมื่อกลับไปถึงเมืองมะระแหม่งแล้ว มะเมี๊ยะได้แต่เฝ้ารอคอยเจ้าน้อย
จนครบกำหนดเดือนที่ท่านได้รับปากไว้ แต่กลับไร้วี่แววใดๆ............
มะเมี๊ยะ จึงตัดสินใจเข้าพึ่งร่มพุทธจักร ครองตนเป็นชี เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่า นางยังซื่อสัตย์ต่อความรัก ที่มีต่อเจ้าน้อยศุขเกษม หลังจากที่มะเมี๊ยะ ทราบข่าวการเข้าพิธีมงคลสมรส ระหว่างเจ้าน้อย กับ เจ้าหญิงบัวนวล ณ เชียงใหม่ แม่ชีมะเมี๊ยะจึงเดินทางมายังเมืองเชียงใหม่ และขอพบเจ้าน้อยเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อแสดงความยินดีกับชีวิตที่กำลังรุ่งโรจน์ องค์อดีตสวามีผู้เป็นที่รัก ก่อนที่จะตัดสินใจครองตนเป็นแม่ชีไปตลอดชีวิต แต่เจ้าน้อยศุขเกษม ไม่สามารถหักห้ามความสงสารที่มีต่อมะเมี๊ยะได้ จึงไม่ยอมลงไปพบแม่ชีมะเมี๊ยะตามคำขอร้อง เพียงแต่มอบหมายให้เจ้าบุญสูงพี่เลี้ยงคนสนิท นำเงินจำนวน 80 บาทไปมอบให้แก่แม่ชีมะเมี๊ยะ เพื่อใช้ในการทำบุญ พร้อมกับมอบแหวนทับทิมประจำกายอีกวงหนึ่ง เป็นตัวแทนของเจ้าน้อย ให้ไปกับแม่ชีมะเมี๊ยะ เหตุการที่เกิดขึ้นทำให้มะเมี๊ยะและเจ้าน้อย ต่างสะเทือนใจเป็นที่สุด
หลังจากเดินทางถึงเมืองมะระแหม่ง มะเมี๊ยะได้ครองชีวิตเป็นแม่ชีตามความตั้งใจ จนกระทั่งถึงแก่กรรม ในปี พ.ศ.2505 รวมอายุได้ 75 ปี ส่วนเจ้าน้อยศุขเกษมได้รับราชการ เป็นรองอมาตย์โท ร้อยตรี เจ้าอุตรการโกศล (ศุขเกษม) ส่วนชีวิตสมรสของเจ้าน้อยก็ไม่มีความสุข ต้องแยกทางกันกับ เจ้าหญิงบัวนวล ณ เชียงใหม่ เจ้าศุขเกษมติดสุราอย่างแรง จนกระทั่ง...ตรอมใจ วายชนม์ เมื่ออายุได้ 30 ปี

" แม้มิได้เป็นมหาสมุทรกว้าง ขอเป็นทะเลก็พอใจฉัน แม้มิได้เป็นเหมือนดวงตะวัน ขอเป็นจันทร์เจิดแจ่มแอร่มดู "


(เจ้าน้อยกับเจ้าหญิงบัวชุม)


    “เจ้าน้อยศุขเกษมกับมะเมียะสาบานรักต่อกันที่วัดไจ้ตะหลั่นและคำสาบานที่ว่าหากใครไม่รักจริงหรือเปลี่ยนใจเป็นอื่น ขอให้อายุสั้น เจ้าน้อยคงจะรักจริง รักมาก แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็ยังเป็นหนุ่มอายุน้อยมาก ถึงแม้จะเป็นราชบุตร บุตรของเจ้าอุปราช พ.ศ. 2446 ที่ดูเหมือนจะยิ่งใหญ่ แต่ที่ใหญ่ยิ่งกว่าคืออำนาจส่วนกลาง รักแท้จึงแพ้อำนาจ เจ้าชายจึงต้องขื่นขมตรมตรอมตลอดมา กระทั่งเสียชีวิตด้วยวัยสามสิบกว่าปี”

มะเมี๊ยะไม่ใช่สาวพม่า แต่เป็นสาวมอญ
วัดเจ๊ะตาลาน-วัดศักด์สิทธิ์ของชาวมอญที่นั่นเสมือนกับวัดพระธาตุดอยสุเทพ วัดดังกล่าวเป็นสถานที่สองหนุ่มสาวไปสาบานกัน และเป็นสถานที่มะเมียะบวชจนตาย
สืบถามหาแม่ชีที่มีวัยและบวชตั้งแต่สาวจนสิ้นอายุขัย ได้ความว่าไม่มีแม่ชีที่ชื่อมะเมียะ แต่มีแม่ชีชื่อด่อนังเหลี่ยน ที่มีฉายาว่า แม่ชีพลอยแดง และก็มีจารึกเป็นแผ่นหินขนาดใหญ่เป็นภาษามอญที่แม่ชีคนดังกล่าวออกทุนสร้างไว้
ก็ได้เอาเรื่องนี้มาถกเถียงกันในวงว่าเป็นคนเดียวกันหรือไม่ มะเมียะ ชื่อจริงคือ เมียะ แปลว่ามรกต (มะเป็นคำนำหน้าเหมือน กับนางสาว) เป็นไปได้หรือไม่ที่พอออกบวชก็ต้องเปลี่ยนฉายา และเลือกใช้พลอยแดง ตรงกับแหวนทับทิมที่เจ้าน้อยให้ไป

 “วัดไจ๊ตะหลั่น” ในเมืองมะละแหม่งที่มะเมี๊ยะและเจ้าน้อยศุขเกษมสาบานรักต่อกันนั้น คนมอญเรียกว่า “เพ่ฮ์กย้าจก์เซมลาน” แปลว่า วัดพระมอญเมืองไทยหนีพ่าย มีที่มาจาก พระเจดีย์ร้างที่สร้างค้างไว้หลายยุคสมัย ได้รับการสร้างต่อจนเสร็จโดยโดยพระสงฆ์ไทยเชื้อสายมอญ และจักกายมามโตนเล ขุนนางพม่าชั้นสูงชาวมอญ ที่หลบหนีมาจากเมืองย่างกุ้ง (เละเกิ่ง) หลังจากทำการกบฏต่อพม่าไม่สำเร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๐ จึงได้มาอยู่ที่เมืองมะละแหม่งซึ่งขณะนั้นตกเป็นของอังกฤษแล้ว ขุนนางมอญผู้นี้รับราชการอยู่กับพม่าและพูดมอญไม่ได้ เช่นเดียวกับมะเมี๊ยะ ดังที่พงศาวดารเมืองเหนือระบุว่ามะเมี๊ยะพูดคุยกับเจ้าน้อยศุขเกษมด้วยภาษาพม่า ก่อน
“มะเมี๊ยะ” หากเป็นคำในภาษามอญแล้วไม่สามารถหาคำแปลที่ไพเราะเหมาะสมได้ ซึ่งอาจเป็นการออกเสียงและจดบันทึกกันต่อมาผิดๆ ของชาวเชียงใหม่ รวมทั้งอาจเป็นไปได้อย่างกรณีของ มามโตนเล ที่รับเอาวัฒนธรรมพม่า นิยมตั้งชื่อเป็นพม่า จะด้วยความนิยมหรือด้วยต้องการทำตัวกลมกลืนให้พ้นภัยก็ตาม หาก มะเมี๊ยะ เป็นภาษาพม่าก็จะได้ความว่า นางสาวมรกต เพราะ มะ เป็นคำนำหน้าหญิงสาวในภาษาพม่า ซึ่งจากการที่ได้คุยกับลูกหลานเจ้านางไทใหญ่ท่านหนึ่ง ท่านมีชื่อเป็นภาษาไทใหญ่ว่า “จิ่งเมี๊ยะ” และท่านแปลว่า อัญมณีสีเขียวเช่นกัน และเมื่อย้ายครอบครัวลงมาตั้งรกรากอยู่กรุงเทพฯ เจ้านางยายของท่านจึงตั้งชื่อภาษาไทยกลางให้ว่า "ขจี"
ลัทธิเถรวาทของมอญ ซึ่งเลื่องชื่อเรื่องความเคร่งครัดในวัตรปฏิบัติของสงฆ์และความเลื่อมใสศรัทธาอย่างแน่นแฟ้นของพุทธศาสนิกชนมอญ ข้อหนึ่งที่จะกล่าวถึงต่อจากนี้คือ พุทธประวัติตอนที่พระนางพิมพาสยายผมลงเช็ดพระบาทองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธประวัติตอนนี้มีกล่าวถึงเฉพาะในส่วนของมอญเท่านั้น นอกจากนี้ชาวมอญยังได้นำมาใช้ในชีวิตจริงกับกษัตริย์และราชวงศ์อีกด้วย เป็นการยืนยันถึงความเลื่อมใสศรัทธาอันเป็นเอกลักษณ์ทางพุทธศาสนาของชนชาติมอญแต่โบราณ
ประเพณีสยายผมรองพระบาทหรือเช็ดพระบาทของมอญนั้นมีมาช้านานแล้ว ชาวมอญถือเป็นการถวายความเคารพอย่างยิ่ง ด้วยการนำสิ่งสูงสุดของร่างกายตนที่ถือเป็น “ศรี” แด่เจ้าของกายสยายลาดปูให้สมณสงฆ์ กษัตริย์ ตลอดจนราชวงศ์เหยียบย่าง แม้สถาบันกษัตริย์ราชวงศ์ของมอญจะไม่ปรากฏอยู่แล้วในวันนี้ แต่ชาวมอญในเมืองไทยยังคงปฏิบัติบูชากับราชวงศ์ไทยสืบมาไม่เสื่อมคลาย
“มะเมี๊ยะ” สาวมอญเมืองมะละแหม่ง ในตอนที่มะเมี๊ยะจะต้องอำลาจากเจ้าน้อยศุขเกษม รัชทายาทเจ้าเมืองเชียงใหม่ในขณะนั้น เพื่อกลับบ้านเมืองของตนภายหลังผิดหวังในรักเพราะผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าน้อยปฏิเสธอย่างรุนแรง มะเมี๊ยะสยายผมลงเช็ดบาทเจ้าน้อยเพื่อแสดงความอาลัยรักและเคารพอย่างสูงสุด


ละครสั้น
ตำนานรักอมตะ เจ้าน้อยสุขเกษมและมะเมี๊ยะ ต่างเชื้อชาติวรรณะ ...อมตะสะเทือนใจ


อ้างอิง




1 ความคิดเห็น:

  1. ความรักแท้ที่ไม่มีวันแปรเปลี่ยน ทำไมถึงได้ทรมานขนาดนี้ น้า เศร้าๆๆๆๆ

    ตอบลบ