Ratchanee Meebaila

วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ตำนานรักอมตะของสองเชื้อชาติแห่งดินแดนล้านนา ซึ้งมากๆ

           ความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม แต่ภายในความสวยงามนี้กลับซ่อนไว้ซึ้งความทุกทรมารความเจ็บปวด การรอคอย........ คนรักกลับมา คำมั่นสัญญาที่ให้กันไว้ในวันที่ต้องพลัดพราก เรื่องราวของความรักที่อมตะจะเป็นอย่างไรนั้นเชิญทุกท่านติดตามได้เลยค่ะ

ตำนานรักอมตะ เจ้าน้อยสุขเกษมและมะเมี๊ยะ ต่างเชื้อชาติวรรณะ ...อมตะสะเทือนใจ
รูปภาพ เจ้าน้อยสุขเกษม แห่งล้านนา
        เจ้าอุตรการโกศล น้อยศุขเกษม ณ เชียงใหม่ หรือ เจ้าน้อยศุขเกษม ราชโอรสองค์ใหญ่ใน พลตรีเจ้าแก้วนวรัฐ สมรสกับ เจ้าหญิงบัวชุม ณ เชียงใหม่ พระญาติในราชวงศ์เจ้าเจ็ดตน

ภาดาและภคินีตามลำดับต่อไปนี้
1. เจ้าอุดรการโกศล (น้อยสุขเกษม)
2. เจ้าหญิงบัวทิพย์
3. เจ้าราชบุตร (วงษ์ตะวัน) (ลำดับ 1-3 เกิดแต่แม่เจ้าจามรี)
4. เจ้าพงษ์อิน
5. เจ้าหญิงศิริประกาย
6. เจ้าอินทนนท์ (ลำดับ 4-6 เกิดแต่หม่อมเขียว)
       ตอนนั้นเชียงใหม่เป็นประเทศราชของสยาม ทางเชียงใหม่ส่ง เจ้าดารารัศมี ซึ่งเป็นเจ้าอาของเจ้าน้อย
ไปอภิเษกกับ ร. 5 เป็นการผูกสัมพันธ์ ตอนนั้นเจ้าดารารัศมีอายุแค่ 13 เ อง...
เจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่สิ้นชีวิตในปี 2440 ลูกสาวที่ถูกเรียกลงเป็นเจ้าจอมที่บางกอกเมื่ออายุได้ 13 ปี (พ.ศ. 2430) คือเจ้าดารารัศมีก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาเผาศพพ่อ และแผ่นดินเชียงใหม่ก็ไม่มีเจ้าผู้ครองนครเพราะสยามไม่แต่งตั้งผู้ใด นั่นคือช่วงปี พ.ศ. 2441 - 2442
ขออันเชิญพระฉายา เจ้าน้อย ศุขเกษม ชายหนุ่ม รูปงาม และใจงาม
พ.ศ. 2441 เจ้าน้อยถูกส่งไปเรียนที่ รร.เซนต์แพทริก เป็น รร.แคธอลิกของฝรั่งที่พม่า โดยแอบส่งไป ขี่ช้างไป เพราะตอนนั้นพม่าเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษซึ่งมีเรื่องกับไทยอยู่
เจ้าน้อยไปตอนอายุ 15 เพราะทางบ้านต้องการให้ได้ภาษาอังกฤษ เพราะค้าขายกับอังกฤษในพม่า
เจ้าน้อยได้พบมะเมียะแม่ค้าสาวสวย ซึ่งเพิ่งมาจากตองอู เจ้าน้อยอายุ 19 มะเมียะอายุ 15 ก็ตัดสินใจแต่งงานกัน
จนอายุ 20 เจ้าน้อยเรียนจบถูกเรียกกลับเชียงใหม่ เจ้าน้อยเลยเอาเมียกลับมาด้วย โดยให้ปลอมเป็น
เด็กรับใช้ชาย เอาเมียไปแอบในเรือนเล็ก โดยไม่รู้เลยว่าเจ้าพ่อเจ้าแม่ได้หมั้นเจ้าหญิงบัวนวล ธิดาของเจ้าสุริยวงษ์ (คำตัน สิโรรส) ให้เป็นคู่หมั้นของเจ้าน้อยฯ เป็นการภายในตั้งแต่ปีที่เจ้าน้อยฯ เดินทางไปศึกษาเล่าเรียนในเมืองพม่า เจ้าน้อยไม่ยอมแต่งงาน เลยเปิดเผยว่ามีเมียแล้วคือมะเมียะ เอามะเมียะมากราบเจ้าพ่อเจ้าแม่แต่ไม่ได้รับการยอมรับ ปัญหาใหญ่ในขณะนั้น คือเจ้าน้อยเป็นผู้ที่ได้รับการคาดหวังว่าจะได้รับตำแหน่งเจ้าหลวงองค์ถัดไปจากเจ้าอินทวโรรสสุริยวงษ ซึ่งเป็นพระเจ้าลุง เรื่องนี้ไปถึงสยาม ร. 5 กับพระราชชายาเจ้าดารารัศมีเห็นว่าไม่ควร เลยส่งผู้สำเร็จราชการมาเจรจา บอกว่าเจ้าน้อยจะมีเมีย กี่คนไม่ใช่ปัญหาแต่ต้องไม่ใช่สาวพม่า เพราะว่าคนพม่า ถือสัญชาติอังกฤษ เดี๋ยวอังกฤษจะถือโอกาสแทรกแซง ว่าแต่งกะพม่า ก็ต้องถือว่าเป็นพม่าด้วย (ช่วงนั้นมีการต่อสู้กันเรื่องดินแดนฝั่งซ้าย-ขวาแม่น้ำโขง) ที่สำคัญเจ้าน้อย เป็นเจ้าชายของเชียงใหม่ ถูกวางตัวไว้ให้เป็นเจ้าอุปราชเชียงใหม่ เท่ากับว่าสยามอาจต้องเสียเชียงใหม่ให้อังกฤษ ก็เลยบังคับส่งมะเมียะกลับพม่า (ไปส่งกันที่ประตูหายยา)
เจ้าน้อยฯ ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าภายใน เดือนจะกลับไปหามะเมียะให้จงได้ นางจึงคุกเข่าลงกับพื้น ก้มหน้า สยายผมออกเช็ดเท้าเจ้าน้อยฯ ด้วยความอาลัยหา ก่อนที่เธอจะขึ้นไปบนกูบช้าง
เมื่อกลับไปถึงเมืองมะละแหม่งแล้ว มะเมียะได้มอบเงินทองจำนวนหนึ่ง (ซึ่งเจ้าแก้วนวรัฐและเจ้าแม่จามรีมอบให้นางก่อนเดินทางกลับเป็นการปลอบขวัญ) แก่พ่อแม่และน้อง
จากนั้นนางได้แต่เฝ้ารอคอยเจ้าน้อยฯ จนครบกำหนด เดือนที่ท่านได้รับปากไว้ แต่กลับไร้วี่แววใดๆ
มะเมียะจึงตัดสินใจเข้าพึ่งใต้ร่มพุทธจักร ครองตนเป็นแม่ชีเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ว่านางยังซื่อสัตย์ ต่อความรักที่มีต่อเจ้าน้อยศุขเกษม
          หลังจากที่มะเมียะทราบข่าวการเข้าพิธีมงคลสมรส ระหว่างร้อยตรีเจ้าอุตรการโกศล (ยศของเจ้าน้อยฯ ในขณะนั้น) กับเจ้าหญิงบัวชุม ณ เชียงใหม่ (เจ้าหญิงบัวนวลถอนหมั้นไปแล้ว)
(เจ้าหญิงบัวนวลพระคู่หมั้นของเจ้าน้อย)
         แม่ชีมะเมียะจึงเดินทางมายังเมืองเชียงใหม่และขอเข้าพบเจ้าน้อยฯ เป็นครั้งสุดท้าย เพื่อแสดงความยินดีกับชีวิตที่กำลังรุ่งโรจน์ องค์อดีตสวามีผู้เป็นที่รัก ก่อนที่ตนจะตัดสินใจครองตนเป็นแม่ชีไปตลอดชีวิต แต่เจ้าน้อยศุขเกษมผู้ยึดสุราเป็นที่พึ่งดับความกลัดกลุ้มอันเกิดจากความรักอาลัยในตัวมะเมียะ ชีวิตที่ไม่เคยมีความสุขในชีวิตสมรส ท่านไม่สามารถหักห้ามความสงสารที่มีต่อมะเมียะได้ จึงไม่ยอมลงไปพบแม่ชีมะเมียะตามคำขอร้อง เพียงแต่มอบหมายให้เจ้าบุญสูง พี่เลี้ยงคนสนิท นำเงินจำนวน ๘๐ บาท ไปมอบให้กับแม่ชีมะเมียะเพื่อใช้ในการทำบุญ พร้อมกับมอบแหวนทับทิมประจำกายอีกวงหนึ่งเป็นตัวแทนของเจ้าน้อยฯ ให้กับแม่ชีมะเมียะ
          เจ้าน้อยหลังจากกันกับแม่ชีคราวนั้น.....ก็เอาแต่กินเหล้าไม่มีใจรักเจ้าบัวชุม ในที่สุดก็ตรอมใจตายหลังจากแต่งงานได้ไม่กี่ปีในขณะที่อายุแค่ 33 ปีในบันทึกบอกว่าสิ้นพระชนม์ด้วยโรคพิษสุรา อีก 6 ปีต่อมาหลังจากพบแม่ชีมะเมี้ยครั้งสุดท้าย ส่วนแม่ชีมะเมี้ยะ... บวชจนสิ้นอายุขัยเสียชีวิตในวัย 75 ปี ใน พ.ศ.2505
           ผู้บันทึกเรื่องนี้คือ เจ้าบัวนวล คู่หมั้นคนแรกที่ถอนหมั้นไปหลังจากรู้ว่าเจ้าน้อยมีมะเมี้ยะ... ส่วนเจ้าบัวชุมไม่ผิดอะไรเลย แต่สามีไม่รักก็อยู่เป็นข้าบาทจาริกาจนอายุ 81 ปี เจ้าบัวนวลกล่าวไว้ว่า ตลอดชีวิตเจ้าน้อยรักผู้หญิงคนเดียวจนสิ้นลม คือ มะเมี๊ยะ หลังจากนั้นเรื่องของเจ้าน้อยกับมะเมียะก็ถูกสั่งห้ามพูดถึงไปหลายปีเพราะเป็นเรื่องทางการเมือง ต้องปิดบัง รายละเอียดเลยหายไป



          กู่เจ้านายฝ่ายเหนือ หรือ สุสานราชตระกูล ณ เชียงใหม่ เป็นสุสานหลวงที่ เจ้าดารารัศมี



พระราชชายาใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โปรดฯ ให้อัญเชิญรวบรวมพระบรมอัฐิ พระอัฐิ ของผู้ครองนครเชียงใหม่
มาประดิษฐานรวมกัน ณ บริเวณลานวัดสวนดอกวรมหาวิหาร แห่งนี้
ซึ่งรวมถึงกู่ของเจ้าน้อยศุขเกษมด้วย
มีคำบอกเล่ากันว่า กู่เล็กๆ ที่ไม่มีชื่อ ในบริเวณนี้คือกู่ของมะเมียะ
หมายเหตุ


(รูปภาพ มะเมี๊ยะ)


- "หมะเมียะ" ภาษาพม่าแปลว่ามรกต; หมะ คือคำนำหน้านาม เมียะ คือชื่อ ค่ะ
- เจ้าเมืองเชียงใหม่สมัยราชวงศ์กาวิละ (เจ้าเจ็ดตน)
        ในปลายรัชสมัยของ สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระปิยะมหาราช
เจ้าน้อยศุขเกษม ราชบุตรองค์ใหญ่ซึ่งประสูตรจากเจ้าหญิงจามรี
รัชทายาทของเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่
ซึ่งไปศึกษาต่อที่เมืองมะระแหม่งตั้งแต่อายุได้ เพียง ๑๕ ปี
และได้ใช้เวลาอยู่ ณ ต่างด้าวต่างแดนถึง ๕ ปีเต็มๆ
เจ้าน้อยศุขเกษมเป็นชายหนุ่มรูปงาม
ซึ่งชาวพม่า มอญ ยกย่องสรรเสริญความงามของหม่อมเจ้าน้อยศุขเกษมเสียเลิศลอย




" พิศโฉมและฟังเสียง ละก็เพียงจะขาดใจ
โอ้นอนจะหลับไหล ฤาฉะนี้นะอกเอ๋ย
ขืนนอนก็ร้อนเร่า ฤดีเฝ้าคนึงเชย
หากขืนจะนอนเฉย อุระอาจพังภินทร์ "



เจ้าน้อยศุขเกษมได้พบรักกับสาวชาวเมืองมะระแหม่งนางหนึ่ง
มีนามว่า "มะเมี๊ยะ"
ขณะนั้นมะเมี๊ยะเป็นเพียงแม่ค้าสาวชาวพม่า
หน้าตาพริ้มเพราได้พบกับเจ้าน้อยศุขเกษมครั้งแรกเมื่ออายุเพียง 16 ปี
ขณะนั้นมะเมี๊ยะเป็นเพียงแม่ค้าขายบุหรี่ในตลาดเมืองมะระแหม่ง

" ขนตายาวราวปีกคลีของผีเสื้อ
มองไม่เบื่อจูงใจไปจำหลัก
ตาคมซึ้งตรึงอุระดังชะนัก
เป็นรอยปักแนบแน่นแก่นชีวิต "

เมื่อทั้งสองได้พบกันจึงเกิดเป็นความรัก ได้อยู่กินกันฉันท์สามีภรรยาเรื่อยมา และในวันพระทั้งสองจะพากันไปทำบุญที่วัดในเมืองมะระแหม่งอยู่เสมอ ณ ที่ลานพระบรมธาตุศักดิ์สิทธิ์-ปูชนียสถานเก่าแก่ดั้งเดิม
คู่บ้านคู่เมืองของเมืองมะระแหม่งนั้นเอง ทั้ง สองหนุ่มสาวซึ่งได้ครองรักเยี่ยงสามีภริยากันหลังจากติดต่อกันไม่นานได้นั่งหมอบเคียงคู่ให้สัตย์ ปฏิญาณสาบานต่อกันว่า จะซื่อตรงจงรักไม่แปรผันชั่วชีวิตดับ
ทั้งเจ้าหนุ่มและมะเมี๊ยะสาวน้อย ผู้ยังไม่ เดียงสาต่อโลกและชีวิต เฝ้าแต่เพียงว่า
รูปมะเมี๊ยะ ตอนแรกก็หาบ่เจอ พอตอนหลังเจอรูปวาดตามคำเปิ้นบอกเล่ามา ของคนพม่า จะไดเปิ้นก็เป๋นแม่ญิงตี้งามแต้ๆเน้อ..

" สิ่งกีดขวางระหว่างชนสองคนเพศ
ใช้เส้นเขตขีดรอบเป็นขอบขันธ์
ใช้สัญชาติ, ศาสน์, เหล่าหรือเผ่าพันธ์
แต่สิ่งนั้นคือศักดิ์ที่รักดี "

เมื่อถึงกำหนดการที่จะต้องเดินทางกลับเชียงใหม่ ซึ่งเจ้าน้อย เพิ่งจะมีอายุครบ 20 ปี จึงได้ตัดสินใจให้มะเมี๊ยะ ปลอมตัวเป็นชายติดตามขบวน เพื่อกลับไปยังเมืองเชียงใหม่ ในฐานะเพื่อนหนุ่มชาวพม่า
โดยหารู้ไม่ว่า เจ้าพ่อและเจ้าแม่ได้หมั้นหมายเจ้าหญิงบัวนวลธิดาของเจ้าสุริยวงศ์ ให้เป็นคู่หมั้นของเจ้าน้อย ตั้งเมื่อเจ้าน้อยเดินทางไปศึกษาที่เมืองพม่า หลังจากที่ต้องแอบซ่อนมะเมี๊ยะไว้ในบ้านหลังเล็ก
ที่เจ้าพ่อและจ้าวแม่จัดเตรียมเป็นที่พักมาแล้วหลายวัน ในที่สุดเจ้าน้อยจึงตัดสินใจบอกความจริงกับเจ้าพ่อและเจ้าแม่ และเจ้าน้อยรู้ดีว่า แม้ท่านทั้งสองจะมิได้เอ่ยคำใด แต่คงไม่ยอมรับให้มะเมี๊ยะเป็นศรีสะใภ้แน่นอน เนื่องจากเจ้าน้อย ได้รับการคาดหมายว่าจะได้รับตำแหน่งเจ้าหลวงองค์ถัดไป หากเจ้าน้อยเลือกมะเมี๊ยะเป็นภรรยา ประชาชนย่อมอึดอัดใจในการยอมรับมะเมี๊ยะผู้เป็นหญิงต่างชาติมาดำรงสถานะภรรยาของเจ้าเมืองอย่างแน่นอน อันเชื้อสายราชวงศ์ของเจ้าสุริยะนั้น สืบเชื้อ สายมาจากเจ้าฟ้าเชียงตุงที่ลี้ภัยจากพม่า มาแต่ปลายสมัยรัชกาลที่ ๑ เจ้าฟ้าเชียงตุงองค์นี้เป็นไทยเขินละทิ้งราชบัลลังก์มาตั้ง
นิวาสถานอยู่ในเชียงใหม่ ส่วนเจ้าหญิง สุคนธาภริยาเจ้าสุริยะ เป็นธิดาของเจ้าราช- บุตร (สุริยะวงศ์) ซึ่งก็เป็นโอรสของพระเจ้า มโหตรประเทศราชา เจ้าผู้ครองนคร เชียงใหม่องค์ที่ ๕ สถานการณ์ในขณะนั้นน่าวิตกยิ่งเนื่องจากอังกฤษได้แผ่อิทธิพลไปทั่วเอเซียตะวันออกเฉียงใต้มะเมี๊ยะเป็นคนในบังคับของอังกฤษ
และอาศัยอยู่ในคุ้มของอุปราช อาจเป็นปัญหาที่ใหญ่โตทางการเมืองได้ในภายหลัง ในที่สุดเจ้าพ่อและเจ้าแม่จึงยื่นคำขาดให้เจ้าน้อย ส่งตัวมะเมี๊ยะกลับเมืองมะระแหม่ง เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับบ้านเมือง เจ้าศุขเกษมถึงน้ำตาตลอหลังจากแน่นิ่งฟังเจ้าพ่อเจ้าแม่ ความคิดภายในสับสนบอกไม่ถูก
เมื่อคิดถึงประเพณีกับความรัก พลางโพล่งออกมาว่า

"มะเมี๊ยะไม่ได้ทำร้ายใคร
ไม่ได้ลบหลู่ใครมะเมี๊ยะเป็นคนดี
ข้าเจ้ารักมะเมี๊ยะ มะเมี๊ยะเป็นหัวใจของข้าเจ้า
ข้าเจ้าเป็นหัวใจของมะเมี๊ยะ
เราเคยสาบานกันต่อหน้าพระธาตุมะระแหม่งว่า
ถ้าใครทรยศต่อรักแล้ว
ขอให้อายุสั้น
ข้าเจ้ารักมะเมี๊ยะเจ้าแม่ "

แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่เป็นผลดั่งใจเจ้าน้อย เนื่องจากปัญหาบ้านเมืองนั้นน่าวิตกยิ่ง มะเมี๊ยะได้ถูกเกลี้ยกล่อมให้กลับไปรอเจ้าน้อยที่เมืองมะระแหม่ง มิฉะนั้น บ้านเมืองอาจเดือดร้อนนางได้
เอ่ยขึ้นด้วยความเสียใจ และยอมจากไป เพื่อไม่ให้คนที่ตนรักได้รับความเดือดร้อน

"มะเมี๊ยะเห็นใจเจ้าแล้ว
มะเมี๊ยะต้องจากเจ้าไป
ตลอดชีวิตของมะเมี๊ยะจะไม่ขอเป็นของใครอีก
มะเมี๊ยะจะเป็นของเจ้าคนเดียวเท่านั้น
มะเมี๊ยะมีใจเดียวรักเดียว
จะขอรอเจ้าจวบจนชีวิตดับ"

เสียงมะเมี๊ยะขาดห้วงลงเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอหอยมิให้พูดต่อไปอีกเจ้าศุขเกษมดึงร่างมะเมี๊ยะกระชับเข้ามาอีก แล้วคร่ำครวญเป็นภาษาพม่าอย่างชัดถ้อยชัดคำ

"สุดที่รักของฉัน ฉันเกิดมามีกรรม
เราเคยสาบานกันว่าใครทรยศต่อรักขออย่าให้อายุยืนยาว
แล้วฉันก็ต้องทำลายเธอ
ทำลายชีวิตเธอทางอ้อมขอกลับไปรอฉันที่บ้านเถิด
หากฉันมีบุญวาสนาในวันหน้า
ฉันจะไปรับเธอกลับมาอยู่เชียงใหม่จนได้
มะเมี๊ยะจ๋า ฉันจะรักเธอจนวันตาย"

แล้ววันนั้นก็มาถึง วันที่ถูกพลัดพรากจากกันจนชั่วชีวิต มันเป็นเช้าของเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๔๖ ณ ประตูเมืองที่เนืองแน่นไปด้วยผู้คน ที่อยากเห็นโฉมหน้าของมะเมี๊ยะ ที่ลือกันว่างามนักหนา
บรรยากาศเต็มไปด้วยความหดหู่และเศร้าหมอง เมื่อเจ้าน้อยพูดภาษาพม่ากับมะเมี๊ยะได้ไม่กี่คำ นางผู้มีใจรักมั่น ได้ร่ำไห้ด้วยความอัดอั้นตันใจ ในอ้อมแขนที่ยากจะจากกันได้ เวลานั้นก็ล่วงเลยไปมากแล้ว เจ้าน้อยได้รับปากกับมะเมี๊ยะว่า ตนจะยึดมั่นในคำปฏิญานที่ให้ไว้ต่อหน้าพระพุทธรูป จนกว่าชีวิตจะหาไม่
หากท่านนอกใจมะเมี๊ยะ โดยสมรสกับหญิงอื่น ขอให้ชีวิตของตนประสพแต่ความทุกข์ทรมานใจ แม้แต่อายุ ก็จะไม่ยืนยาว เจ้าน้อยได้ให้คำมั่นสัญญาว่า ภายในเดือน จะกลับไปหามะเมี๊ยะให้จงได้ แม้จะขึ้นไปบนช้างแล้วก็ตาม มะเมี๊ยะก็ขอลงมาหาเจ้าน้อยอีกจนได้ เธอคุกเข่าลงกับพื้นก้มหน้า สยายผมออกเช็ดเท้าสามีด้วยความรักอาลัย เรียกน้ำตาของเจ้าน้อยไหลลงนองสองแก้ม แล้วก็โผเข้ากอดรัดกันอีก เหตุการณ์ต่อหน้าต่อตาที่คาดไม่ถึง ทำให้ประชาชนทั้งชายหญิงที่มีจิตใจไม่เข้มแข็ง กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เหมือนกัน ท้าวบุญสูงต้องอึดอัดใจอย่างยิ่ง เพราะไหนจะปลอบใจให้มะเมี๊ยะกลับขึ้นไปบนหลังช้าง
ไหนมะเมี๊ยะจะดึงดันกลับลงมาอีก เป็นหนที่สองวิ่งเข้าสู่อ้อมกอดเจ้าน้อยอีก กว่าขบวนจะออกเดินทางได้ก็เลยกำหนดเวลาไปนานอักโข เจ้าน้อยยืนเหม่อมองดูจุดเล็กๆ ที่ขยับเขยื้อนเหลียวมองด้านหลังจากบนหลังช้างนั้นตลอดเวลา จนลับจากสายตาจึงยอมกลับสู่คุ้ม ประชาชนชาวเชียงใหม่ ไม่มีโอกาสประสบพบเห็นความรักต่างแดน อันลงเอยด้วยความโศกสลดรันทดใจมาก่อน และไม่มีโอกาสจะพบเห็นได้อีกแล้วในประวัติศาสตร์ของเวียงพิงค์ เมื่อกลับไปถึงเมืองมะระแหม่งแล้ว มะเมี๊ยะได้แต่เฝ้ารอคอยเจ้าน้อย
จนครบกำหนดเดือนที่ท่านได้รับปากไว้ แต่กลับไร้วี่แววใดๆ............
มะเมี๊ยะ จึงตัดสินใจเข้าพึ่งร่มพุทธจักร ครองตนเป็นชี เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่า นางยังซื่อสัตย์ต่อความรัก ที่มีต่อเจ้าน้อยศุขเกษม หลังจากที่มะเมี๊ยะ ทราบข่าวการเข้าพิธีมงคลสมรส ระหว่างเจ้าน้อย กับ เจ้าหญิงบัวนวล ณ เชียงใหม่ แม่ชีมะเมี๊ยะจึงเดินทางมายังเมืองเชียงใหม่ และขอพบเจ้าน้อยเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อแสดงความยินดีกับชีวิตที่กำลังรุ่งโรจน์ องค์อดีตสวามีผู้เป็นที่รัก ก่อนที่จะตัดสินใจครองตนเป็นแม่ชีไปตลอดชีวิต แต่เจ้าน้อยศุขเกษม ไม่สามารถหักห้ามความสงสารที่มีต่อมะเมี๊ยะได้ จึงไม่ยอมลงไปพบแม่ชีมะเมี๊ยะตามคำขอร้อง เพียงแต่มอบหมายให้เจ้าบุญสูงพี่เลี้ยงคนสนิท นำเงินจำนวน 80 บาทไปมอบให้แก่แม่ชีมะเมี๊ยะ เพื่อใช้ในการทำบุญ พร้อมกับมอบแหวนทับทิมประจำกายอีกวงหนึ่ง เป็นตัวแทนของเจ้าน้อย ให้ไปกับแม่ชีมะเมี๊ยะ เหตุการที่เกิดขึ้นทำให้มะเมี๊ยะและเจ้าน้อย ต่างสะเทือนใจเป็นที่สุด
หลังจากเดินทางถึงเมืองมะระแหม่ง มะเมี๊ยะได้ครองชีวิตเป็นแม่ชีตามความตั้งใจ จนกระทั่งถึงแก่กรรม ในปี พ.ศ.2505 รวมอายุได้ 75 ปี ส่วนเจ้าน้อยศุขเกษมได้รับราชการ เป็นรองอมาตย์โท ร้อยตรี เจ้าอุตรการโกศล (ศุขเกษม) ส่วนชีวิตสมรสของเจ้าน้อยก็ไม่มีความสุข ต้องแยกทางกันกับ เจ้าหญิงบัวนวล ณ เชียงใหม่ เจ้าศุขเกษมติดสุราอย่างแรง จนกระทั่ง...ตรอมใจ วายชนม์ เมื่ออายุได้ 30 ปี

" แม้มิได้เป็นมหาสมุทรกว้าง ขอเป็นทะเลก็พอใจฉัน แม้มิได้เป็นเหมือนดวงตะวัน ขอเป็นจันทร์เจิดแจ่มแอร่มดู "


(เจ้าน้อยกับเจ้าหญิงบัวชุม)


    “เจ้าน้อยศุขเกษมกับมะเมียะสาบานรักต่อกันที่วัดไจ้ตะหลั่นและคำสาบานที่ว่าหากใครไม่รักจริงหรือเปลี่ยนใจเป็นอื่น ขอให้อายุสั้น เจ้าน้อยคงจะรักจริง รักมาก แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็ยังเป็นหนุ่มอายุน้อยมาก ถึงแม้จะเป็นราชบุตร บุตรของเจ้าอุปราช พ.ศ. 2446 ที่ดูเหมือนจะยิ่งใหญ่ แต่ที่ใหญ่ยิ่งกว่าคืออำนาจส่วนกลาง รักแท้จึงแพ้อำนาจ เจ้าชายจึงต้องขื่นขมตรมตรอมตลอดมา กระทั่งเสียชีวิตด้วยวัยสามสิบกว่าปี”

มะเมี๊ยะไม่ใช่สาวพม่า แต่เป็นสาวมอญ
วัดเจ๊ะตาลาน-วัดศักด์สิทธิ์ของชาวมอญที่นั่นเสมือนกับวัดพระธาตุดอยสุเทพ วัดดังกล่าวเป็นสถานที่สองหนุ่มสาวไปสาบานกัน และเป็นสถานที่มะเมียะบวชจนตาย
สืบถามหาแม่ชีที่มีวัยและบวชตั้งแต่สาวจนสิ้นอายุขัย ได้ความว่าไม่มีแม่ชีที่ชื่อมะเมียะ แต่มีแม่ชีชื่อด่อนังเหลี่ยน ที่มีฉายาว่า แม่ชีพลอยแดง และก็มีจารึกเป็นแผ่นหินขนาดใหญ่เป็นภาษามอญที่แม่ชีคนดังกล่าวออกทุนสร้างไว้
ก็ได้เอาเรื่องนี้มาถกเถียงกันในวงว่าเป็นคนเดียวกันหรือไม่ มะเมียะ ชื่อจริงคือ เมียะ แปลว่ามรกต (มะเป็นคำนำหน้าเหมือน กับนางสาว) เป็นไปได้หรือไม่ที่พอออกบวชก็ต้องเปลี่ยนฉายา และเลือกใช้พลอยแดง ตรงกับแหวนทับทิมที่เจ้าน้อยให้ไป

 “วัดไจ๊ตะหลั่น” ในเมืองมะละแหม่งที่มะเมี๊ยะและเจ้าน้อยศุขเกษมสาบานรักต่อกันนั้น คนมอญเรียกว่า “เพ่ฮ์กย้าจก์เซมลาน” แปลว่า วัดพระมอญเมืองไทยหนีพ่าย มีที่มาจาก พระเจดีย์ร้างที่สร้างค้างไว้หลายยุคสมัย ได้รับการสร้างต่อจนเสร็จโดยโดยพระสงฆ์ไทยเชื้อสายมอญ และจักกายมามโตนเล ขุนนางพม่าชั้นสูงชาวมอญ ที่หลบหนีมาจากเมืองย่างกุ้ง (เละเกิ่ง) หลังจากทำการกบฏต่อพม่าไม่สำเร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๐ จึงได้มาอยู่ที่เมืองมะละแหม่งซึ่งขณะนั้นตกเป็นของอังกฤษแล้ว ขุนนางมอญผู้นี้รับราชการอยู่กับพม่าและพูดมอญไม่ได้ เช่นเดียวกับมะเมี๊ยะ ดังที่พงศาวดารเมืองเหนือระบุว่ามะเมี๊ยะพูดคุยกับเจ้าน้อยศุขเกษมด้วยภาษาพม่า ก่อน
“มะเมี๊ยะ” หากเป็นคำในภาษามอญแล้วไม่สามารถหาคำแปลที่ไพเราะเหมาะสมได้ ซึ่งอาจเป็นการออกเสียงและจดบันทึกกันต่อมาผิดๆ ของชาวเชียงใหม่ รวมทั้งอาจเป็นไปได้อย่างกรณีของ มามโตนเล ที่รับเอาวัฒนธรรมพม่า นิยมตั้งชื่อเป็นพม่า จะด้วยความนิยมหรือด้วยต้องการทำตัวกลมกลืนให้พ้นภัยก็ตาม หาก มะเมี๊ยะ เป็นภาษาพม่าก็จะได้ความว่า นางสาวมรกต เพราะ มะ เป็นคำนำหน้าหญิงสาวในภาษาพม่า ซึ่งจากการที่ได้คุยกับลูกหลานเจ้านางไทใหญ่ท่านหนึ่ง ท่านมีชื่อเป็นภาษาไทใหญ่ว่า “จิ่งเมี๊ยะ” และท่านแปลว่า อัญมณีสีเขียวเช่นกัน และเมื่อย้ายครอบครัวลงมาตั้งรกรากอยู่กรุงเทพฯ เจ้านางยายของท่านจึงตั้งชื่อภาษาไทยกลางให้ว่า "ขจี"
ลัทธิเถรวาทของมอญ ซึ่งเลื่องชื่อเรื่องความเคร่งครัดในวัตรปฏิบัติของสงฆ์และความเลื่อมใสศรัทธาอย่างแน่นแฟ้นของพุทธศาสนิกชนมอญ ข้อหนึ่งที่จะกล่าวถึงต่อจากนี้คือ พุทธประวัติตอนที่พระนางพิมพาสยายผมลงเช็ดพระบาทองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธประวัติตอนนี้มีกล่าวถึงเฉพาะในส่วนของมอญเท่านั้น นอกจากนี้ชาวมอญยังได้นำมาใช้ในชีวิตจริงกับกษัตริย์และราชวงศ์อีกด้วย เป็นการยืนยันถึงความเลื่อมใสศรัทธาอันเป็นเอกลักษณ์ทางพุทธศาสนาของชนชาติมอญแต่โบราณ
ประเพณีสยายผมรองพระบาทหรือเช็ดพระบาทของมอญนั้นมีมาช้านานแล้ว ชาวมอญถือเป็นการถวายความเคารพอย่างยิ่ง ด้วยการนำสิ่งสูงสุดของร่างกายตนที่ถือเป็น “ศรี” แด่เจ้าของกายสยายลาดปูให้สมณสงฆ์ กษัตริย์ ตลอดจนราชวงศ์เหยียบย่าง แม้สถาบันกษัตริย์ราชวงศ์ของมอญจะไม่ปรากฏอยู่แล้วในวันนี้ แต่ชาวมอญในเมืองไทยยังคงปฏิบัติบูชากับราชวงศ์ไทยสืบมาไม่เสื่อมคลาย
“มะเมี๊ยะ” สาวมอญเมืองมะละแหม่ง ในตอนที่มะเมี๊ยะจะต้องอำลาจากเจ้าน้อยศุขเกษม รัชทายาทเจ้าเมืองเชียงใหม่ในขณะนั้น เพื่อกลับบ้านเมืองของตนภายหลังผิดหวังในรักเพราะผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าน้อยปฏิเสธอย่างรุนแรง มะเมี๊ยะสยายผมลงเช็ดบาทเจ้าน้อยเพื่อแสดงความอาลัยรักและเคารพอย่างสูงสุด


ละครสั้น
ตำนานรักอมตะ เจ้าน้อยสุขเกษมและมะเมี๊ยะ ต่างเชื้อชาติวรรณะ ...อมตะสะเทือนใจ


อ้างอิง




วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

วันวาเลนไทน์




วันนักบุญวาเลนไทน์ (อังกฤษ: Saint Valentine's Day) หรือที่เป็นที่รู้จักว่า วันวาเลนไทน์ (Valentine's Day) ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็นวันประเพณีที่คู่รักบอกให้กันและกันทราบเกี่ยวกับความรักของพวกเขา โดยการส่งการ์ดวาเลนไทน์ ซึ่งโดยมากจะไม่ระบุชื่อ

ประวัติ

วันวาเลนไทน์นั้นมีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ในกรุงโรมสมัยก่อนนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของจูโนซึ่งเป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิดาของโรมัน ชาวโรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดาแห่ง อิสตรีและการแต่งงาน และในวันถัดมาคือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของ Lupercalia การดำเนินชีวิตของเด็กหนุ่มและเด็กสาวในสมัยนั้นจะถูกแยกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่อย่าง
ไรก็ตาม ยังมีประเพณี อย่างนึง ซึ่งเด็กหนุ่มสาวยังสืบทอดต่อกันมา คือ คืนก่อนวันเฉลิมฉลอง Lupercalia นั้นชื่อของเด็กสาวทุกคนจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษเล็ก ๆ และจะใส่เอาไว้ในเหยือก เด็กหนุ่มแต่ละคนจะดึงชื่อของเด็กสาวออกจากเหยือก แล้วหลังจากนั้นก็จะจับคู่กันในงานเฉลิมฉลอง บางครั้งการจับคู่นี้ ท้ายที่สุดก็จะจบลงด้วยการที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองนั้นได้ตกหลุมรักกันและแต่งงานกันในที่สุด
ในรัชสมัยของ จักรพรรดิคลอดิอัสที่ 2 (Emperor Claudius II) แห่งกรุงโรม พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีใจคอดุร้ายและทรงนิยมการทำสงครามนองเลือด ได้ทรงตระหนักว่าเหตุที่ ชายหนุ่มส่วนมากไม่ประสงค์จะเข้าร่วม ในกองทัพเนื่องจากไม่อยากจากคู่รัก และครอบครัวไป จึงทรงมีพระราชโอง การสั่งห้ามมิให้มีการจัดพิธีหมั้นและแต่งงานกันในโรมโดยเด็ดขาด ทำให้ ประชาชนทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง และขณะนั้น มีนักบุญรูปหนึ่งนามว่า เซนต์วาเลนไทน์ หรือวาเลนตินัส ซึ่งอาศัยอยู่ในโรมได้ ร่วมมือกับเซนต์มาริอัสจัดพิธีแต่งงานให้กับ ชาวคริสต์หลายคู่ และด้วยความปรารถนา ดีนี้เองจึงทำให้วาเลนไทน์ถูกจับและระ หว่างนี้ก็ยังคงส่งคำอวยพรวาเลนไทน์ ของเขาเองขณะที่เขาเป็นนักโทษ เป็นความเชื่อว่าวาเลนไทน์ได้ตกหลุมรักหญิง สาวที่เป็นลูกสาวของผู้คุมที่ชื่อจูเลีย ซึ่งได้มาเยี่ยมเขาระหว่างที่ถูกคุมขัง ในคืนก่อนที่วาเลนไทน์จะสิ้นชีวิตโดยการถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับ สุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า “From Your Valentine”
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้นศพของเขาได้ถูกเก็บไว้ที่โบสถ์พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุมศพของวาเลนตินัส แด่ผู้เป็นที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูได้เป็นตัวแทนแห่งรักนิรันดรและมิตรภาพ อันสวยงาม และคำนี้ก็เป็นคำที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าเบื้องหลังความเป็นจริงของวาเลนไทน์จะเป็นตำนานที่มืดมัว แต่เรื่องราวยังคงแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสงสาร ความกล้าหาญและที่สำคัญที่สุดเป็นเครื่องหมายของความโรแมนติค จึงไม่น่าประหลาดใจ เลยว่าในช่วงยุคกลางวาเลนไทน์เป็นนักบุญ ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอังกฤษและฝรั่งเศส ต่อมาพระในนิกายโรมันคาทอลิกจึงเลือกให้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความรักและดูเหมือนว่ายัง คงเป็นธรรมเนียมที่ชายหนุ่มจะเลือกหญิงสาวที่ตนเองพึงใจในวันวาเลนไทน์ สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้

นักบุญวาเลนไทน์
วันนักบุญวาเลนไทน์ (Saint Valentine's Day) หรือที่เป็นที่รู้จักว่า วันวาเลนไทน์ (Valentine's Day) ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็นวันประเพณีที่คู่รักบอกให้กันและกันทราบเกี่ยวกับความรักของพวกเขา โดยการส่งการ์ดวาเลนไทน์ ซึ่งโดยมากจะไม่ระบุชื่อ วันนี้เริ่มเกี่ยวข้องกับความรักแบบชู้สาวในช่วงยุค High Middle Ages เรื่องของ วันวาเลนไทน์ นี้ มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ณ กรุงโรม หรืออาณาจักรโรมัน ในยุคของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง (Claudius II) โดยที่จักรพรรดิพระองค์นี้ มีนิสัยชอบกดขี่ข่มเหงผู้อื่น เขาได้สั่งให้ชาวโรมันทุกคน สักการะนับถือพระเจ้า 12 องค์ โดยผู้ที่ขัดขืนคำสั่งจะถูกทำโทษ รวมทั้งห้ามยุ่งเกี่ยวกับพวกคริสเตียนด้วย แต่นักบุณวาเลนตินุส (Valentinus) - valentine มีความเลื่อมใส ศรัทธาต่อพระคริสต์มาก เขาได้กล่าวไว้ว่า แม้กระทั่งความตายก็ไม่สามารถ เปลี่ยนความคิดของเขาได้ เขาจึงได้ถูกขังคุก
ช่วงอาทิตย์สุดท้ายในชีวิตของเขานั้นได้ มีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้น ขณะที่เขาถูกคุมขังอยู่นั้น ผู้คุมขังได้ขอให้วาเลนตินุส สอนลูกสาวเขาซึ่งตาบอดด้วย จูเลียเป็นคนสวยแต่น่าเสียดายที่เธอตาบอดตั้งแต่แรกเกิด วาเลนตินุสได้เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ต่าง ๆ สอนเลข และเล่าเรื่องพระเจ้าให้เธอฟัง จูเลีย สามารถรับรู้สิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ได้ โดยคำบอกเล่าของ วาเลนตินุส เธอเชื่อใจเขาและเธอมีความสุขมากเมื่ออยู่กับเขา
วันหนึ่งจูเลียถามวาเลนตินุสว่า “ถ้าเราอธิษฐาน พระผู้เป็นเจ้าจะได้ยินเราไหม” เขาตอบ “พระองค์เจ้า จะได้ยินเราแน่นอน ท่านได้ยินเราทุกคน” จูเลียกล่าว “ท่านทราบหรือไม่ว่า ข้าอธิษฐานขออะไรทุก ๆ เช้า ทุก ๆ เย็น...ข้าหวังว่า ข้าจะได้มองเห็นโลก เห็น ทุก ๆ อย่างที่ท่านเล่าให้ข้าฟัง” วาเลนตินุสจึงบอก “พระเจ้ามอบแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ทุกคน เพียงแค่เรามีความเชื่อมั่นในพระองค์ท่าน เท่านั้นเอง”
จูเลีย ผู้ซึ่งมีความเชื่อมั่นในพระผู้เป็นเจ้าจึงได้คุกเข่า กุมมืออธิษฐานพร้อมกับวาเลนตินุส และในขณะนั้นเอง ก็ได้มีแสงสว่างลอดเข้ามาในคุก และสิ่งมหัศจรรย์ก็ได้เกิดขึ้น จูเลียค่อย ๆ ลืมตา แล้วเธอก็มองเห็น เขาและเธอจึงกล่าวขอบคุณต่อพระเจ้า และเรื่องมหัศจรรย์เรื่องนี้ ได้แพร่หลายไปทั่วราชอาณาจักร
ในคืนก่อนที่วาเลนตินุสจะสิ้นชีวิต โดยการถูกตัดศีรษะเขาได้ส่งจดหมายฉบับสุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า - From Your Valentine - เขาสิ้นชีพในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้น ศพของเขาได้ถูกเก็บไว้ที่โบสถ์พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุมศพของวาเลนตินุส แต่ผู้เป็นที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูได้เป็นตัวแทนแห่งรักนิรันดร์และมิตรภาพอันสวยงาม
การส่งดอกไม้วันวาเลนไทน์
มนุษย์ได้ใช้ดอกไม้เป็นสื่อในการแสดงความรักต่อกันมานานแล้ว เราคิดว่าดอกไม้เป็นสิ่งความรักของหนุ่มสาวเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วดอกไม้ยังใช้สื่อความรักได้หลายรูปแบบ ทั้งยังไม่จำกัดอายุและเพศอีกด้วย
  • กุหลาบแดง (Red Rose) : จะใช้ในความหมายแทน ประโยคที่ว่า "ฉันรักเธอ"
  • กุหลาบขาว (White Rose) : กุหลาบขาวแทนความหมายแห่งความรักอันบริสุทธิ์
  • กุหลาบชมพู (Pink Rose) : มักถูกใช้แทนความรักแบบโรแมนติก และความเสน่หาต่อกัน
  • กุหลาบเหลือง (Yellow Rose) : สีเหลืองเป็นสีแห่งความสดใส แทนความรักแบบเพื่อน
โดยในการมอบดอกกุหลาบในวันวาเลนไทน์นั้นเชื่อกันว่า จำนวนดอกกุหลาบที่มอบแก่กันนั้น มีความหมายต่อความรักกันอีกด้วย โดยได้แก่
  • 1 ดอก หมายถึง ความรักแบบ รับแรกพบ
  • 2 ดอก หมายถึงการแสดงความยินดี
  • 3 ดอก แทนคำบอกรักว่า ฉันรักเธอ
  • 7 ดอก แทนคำพูดที่ว่า เธอทำให้ฉันหลงเสน่ห์
  • 9 ดอก แทนความหมายที่ว่า ทั้งสองคนจะรักกันตลอดไป
  • 10 ดอก แทนความหมายว่า เธอเป็นคนที่ดีเลิศที่สุด
  • 11 ดอก แทนความหมายว่า การเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดของฉัน
  • 12 ดอก แทนความหมายว่า การขอให้เธอเป็นคู่ฉัน
  • 13 ดอก แทนความหมายว่า ความเป็นเพื่อนแท้เสมอ (ซึ่งอีกนัยหนึ่งคือ การบอกปฏิเสธด้วยความรักอย่างเพื่อน)
  • 15 ดอก แทนความหมายว่า แทนความรู้สึกเสียใจจริง
  • 20 ดอก แทนความหมายว่า ความจริงใจต่อกัน
  • 21 ดอก แทนความหมายว่า ถึงการมอบชีวิตอุทิศให้
  • 36 ดอก แทนความหมายว่า ความทรงจำที่แสนหวานที่ยังมีต่อกัน
  • 40 ดอก แทนความหมายว่า ยืนยันว่าความรักเป็นรักแท้
  • 99 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันรักเธอจนวันตาย
  • 100 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันอุทิศชีวิตนี้เพื่อเธอ
  • 101 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันมีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น
  • 108 ดอก แทนความหมายถึงการขอแต่งงานแบบอ้อมๆ ที่ผู้ให้ไม่กล้าพูด
  • 999 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันจะรักเธอจนวินาทีสุดท้าย
  • 1,000 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันจะรักเธอจนวันตาย
  • 9,999 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันจะรักเธอชั่วนิรันดร
     ดังนั้นเราก็ได้รู้แล้วนะค่ะว่าต้นกำเนิดแหล่งที่มาของวันวาเลนไทน์มาจากไหน หวังว่าเพื่อนๆทุกคนคงสนุกกับการอ่านบทความนะค่ะ เเล้วเจอกันใหม่ในบทความหน้าค่ะ


อ้างอิง
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B9%8C


http://www.google.co.th/imgres?q=%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B9%8C&hl=th&sa=X&biw=1075&bih=487&tbm=isch&prmd=imvnsl&tbnid=NFUVaOWyc2u25M:&imgrefurl=http://www.saynite.com/%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B2%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%258C/&docid=1faGZYpDk7dLZM&imgurl=http://www.saynite.com/wp-content/uploads/3B07371000.gif&w=328&h=350&ei=PWo1T_aVNc_KrAeL-MzEDA&zoom=1&iact=rc&dur=628&sig=101206090718450843697&page=1&tbnh=121&tbnw=114&start=0&ndsp=12&ved=1t:429,r:4,s:0&tx=43&ty=54


http://www.google.co.th/imgres?q=%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B9%8C&hl=th&sa=X&biw=1075&bih=487&tbm=isch&prmd=imvnsl&tbnid=UtYXp7Hh9r8DLM:&imgrefurl=http://valentine.showded.com/category/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B2%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%258C&docid=sry-Qoo3bZfqXM&imgurl=http://valentine.showded.com/files/2012/01/24600-attachment.jpg&w=500&h=500&ei=PWo1T_aVNc_KrAeL-MzEDA&zoom=1&iact=hc&vpx=83&vpy=146&dur=577&hovh=225&hovw=225&tx=129&ty=116&sig=101206090718450843697&page=1&tbnh=116&tbnw=115&start=0&ndsp=12&ved=1t:429,r:6,s:0

10 สถานที่ท่องเที่ยวของไทยน่าเที่ยวในหน้าหนาว

อากาศบ้านเราเริ่มหนาวแล้ว สถานที่ต่างๆ เริ่มมีบรรดานักท่องเที่ยว ทยอยขึ้นดอยสัมผัสความหนาว ทะเลหมอก น้ำค้าง และสายลมกันบ้างแล้ว ชีวิตคนเมืองอย่างเราไม่ค่อยได้สัมผัสอากาศหนาวเท่าไรนัก (นอกจากความหนาวจาก แอร์คอนดิชั่น) แต่ถ้าเป็นต่างจังหวัด ก็พอจะมีโอกาสได้รับรู้ถึงความหนาวกันบ้าง ยิ่งบนยอดดอยไม่ต้องพูดถึง บางแห่งหนาวเกือบตลอดทั้งปี
สำหรับวันนี้ เรามีสถานที่ ที่น่าสนใจ 10 แห่ง ที่มักจะมีนักท่องเที่ยวขึ้นมาสัมผัสความหนาวให้ได้รู้จักกัน ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่อยู่ในเขตเทือกเขาทางภาคเหนือ ลองมาดูกันซิคะว่าเราเคยไปเที่ยวกันครบทั้งสิบแห่งหรือยัง

1. อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ 
ชื่อนี้มักจะเป็นติดอันดับต้นๆ ของการท่องเที่ยว เดิมชื่อว่า ดอยหลวง หรือ ดอยอ่างกา ดอยหลวง หมายถึงภูเขาที่มีขนาดใหญ่ ส่วนที่เรียกว่า ดอยอ่างกานั้น เพราะมีหนองน้ำอยู่แห่งหนึ่งลักษณะเหมือน อ่างน้ำ มีฝูงกาไปเล่นน้ำกันมากมาย จึงเรียกว่า อ่างกา หรือ ดอยอ่างกา

ดอยอินทนนท์ เป็นยอดดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทย (2,599 เมตร) จึงทำให้มีสภาพอากาศหนาวเย็นตลอดปี สถานที่น่าสนใจในอุทยานฯ มี น้ำตกแม่ยะ น้ำตกแม่กลาง น้ำตกวชิรธาร น้ำตกสิริภูมิ ถ้ำบริจินดา โครงการหลวงอินทนนท์ และ เส้นทางศึกษาธรรมชาติหลายจุด



2. ดอยอ่างขาง เป็นที่ตั้งสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ภายในสถานีมีโครงการวิจัยผลไม้ ไม้ดอกเมืองหนาว งานสาธิตพืชไร่ แปลงทดลองปลูกไม้ผลเมืองหนาว สวนบอนไซ มีการจำหน่ายผลิตผลพืชผักเมืองหนาวที่ปลูก ในบริเวณโครงการฯ ให้แก่นักท่องเที่ยวตามฤดูกาล ในสถานีฯ มีที่พัก และมีสถานที่กางเต็นท์บริการแก่นักท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ





3. เขาค้อ – อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ 
เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ชื่อว่าเขาค้อเป็นเพราะ ป่าบริเวณนี้มีต้นค้อขึ้นอยู่มาก เนื่องจากภูมิอากาศบนเขาค้อเย็นตลอดปี ค่อนข้างเย็นจัดในฤดูหนาว และมีทัศนียภาพสวยงาม จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่ง ของเพชรบูรณ์ สถานที่น่าสนใจบนเขาค้อได้แก่ อนุสาวรีย์จีนฮ่อ ฐานอิทธิเจดีย์ พระบรมสารีริกธาตุเขาค้อ หอสมุดนานาชาติเขาค้อ พระตำหนักเขาค้อ น้ำตกศรีดิษฐ์ สวนสัตว์เปิดเขาค้อ และเนินมหัศจรรย์ หมู่บ้านคุ้มจุดชมวิวกิ่วลม หมู่บ้านนอแล และหมู่บ้านขอบด้ง หมู่บ้านหลวง



อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อน เป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญของแม่น้ำหลายสาย สถานที่น่าสนใจ ในเขตอุทยานฯ ได้แก่ ทุ่งหญ้ากงวัง ถ้ำผาหงษ์ สวนสนบ้านแปก สวนสนภูกุ่มข้าว น้ำตกซำผักคาว น้ำตกทรายแก้ว น้ำตกทรายเงิน น้ำตกเหวทราย น้ำตกทรายทอง ภูผาจิต หนองปลาไหล หนองน้ำขุ่น น้ำตกตาดพรานบา ผาล้อม ผากอง ถ้ำใหญ่น้ำ
 4. อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง 
ด้วยสภาพอากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปี มีเทือกเขาและภูเขาสูง สลับซับซ้อน ครอบคลุมอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ภูเขาที่สูงที่สุด คือ ดอยช้าง เป็นป่าต้นน้ำลำธาร มีลำห้วยน้อยใหญ่มากมาย ฤดูหนาวอากาศเย็น ลมแรง



5. ภูชี้ฟ้า-ผาตั้ง จ.เชียงราย 
ภูชี้ฟ้า เป็นจุดชมวิวทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นอีกแห่งหนึ่ง มีลักษณะเป็นยอดเขาที่แหลมชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า ยิ่งตอนที่พระอาทิตย์กำลังขึ้นมาตรงระหว่างปลายยอดเขา จะดูเหมือน เสือคาบแก้วมาก มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,628 เมตร ส่วนของหน้าผาเป็นแนวยาวยื่นไปทางฝั่งประเทศลาว



ดอยผาตั้ง อยู่บนเทือกดอยผาหม่น เป็นจุดชมวิวสองฝั่งโขง ไทย-ลาว และทะเลหมอก บนดอยมีหมู่บ้านชาวจีนฮ่อ ม้ง และเย้า โดยเฉพาะ ชาวจีนฮ่อนั้น อดีตเคยเป็น ส่วนหนึ่งของกองพล 93 ซึ่งอพยพเข้ามา ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ดอยผาตั้งนี้ ปัจจุบันประกอบอาชีพทางการเกษตร ปลูกพืชเมืองหนาว เช่น บ๊วย ท้อ สาลี่ แอปเปิ้ล

 6. อุทยานแห่งชาติภูกระดึง เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ได้รับความนิยมมากแห่งหนึ่ง ของเมืองไทย เพราะมีสภาพธรรมชาติสมบูรณ์ประกอบด้วยระบบนิเวศและ ภูมิประเทศหลากหลาย ทั้งทุ่งหญ้า ป่าสนเขา ป่าดิบ น้ำตกและ หน้าผาชมทิวทัศน์ ลักษณะเด่นของอุทยานฯ แห่งนี้คือเป็นภูเขาหินทราย ยอดตัด เป็นที่ราบขนาดใหญ่คล้ายใบบอนหรือรูปหัวใจ มีเนื้อที่ประมาณ 60 ตารางกิโลเมตร มีความสูง 400-1,200 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง จุดท่องเที่ยวประทับใจได้แก่ ผานกแอ่น ผาหล่มสัก ผาหมากดูด น้ำตกเพ็ญพบ น้ำตกถ้ำสอเหนือ-ใต้ สระอโนดาด เป็นต้น





7. อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ตั้งอยู่บนรอยต่อของสามจังหวัดคือ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และเลย ไร่ภูหินร่องกล้ามียอดเขาสูง 1,617 เมตร มีทิวทัศน์สวยงาม ปกคลุมด้วยป่าเต็งรังป่าดิบเขา และป่าสนเขา มีสนสองใบและสนสามใบ ขึ้นปะปนกัน และพบกล้วยไม้ดอกไม้ป่าหลายชนิดขึ้นอยู่ตามลานหิน เคยเป็นศูนย์กลางที่ตั้งฐานที่มั่นการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ใหญ่ และสำคัญที่สุดของภาคเหนือ จุดที่น่าสนใจ ลานหินปุ่ม ลานหินแตก น้ำตกหมันแดง เป็นต้น





8. ทุ่งบัวตองดอยแม่อูคอ – ดอยแม่เหาะ จ.แม่ฮ่องสอน  ดอยแม่อูคอ เป็นทุ่งดอกบัวตองที่มีพื้นที่ครอบคลุมเป็นเขากว้าง ประมาณ 1 พันไร่ ดอกบัวตองที่นี่เมื่อบานพร้อม ๆ กันในช่วงเดือน พฤศจิกายน-ธันวาคม จะเหลืองอร่ามปกคลุมทั่วทั้งภูเขา ดอยแม่เหาะ อยู่ริมทางหลวงหมายเลข 10-8 ตรงบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 84 เขตตำบลแม่เหาะ เป็นที่ตั้งของศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา จังหวัดแม่ฮ่องสอน บริเวณนี้ มีภูมิประเทศที่งดงาม มีชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง อยู่เป็นส่วนมาก ในเดือนพฤศจิกายน ถึงธันวาคม ของทุกปี ดอกบัวตอง หรือทานตะวันป่า บานสะพรั่ง ไปทั่วหุบเขา สวยงามมากทีเดียว






9. อุทยานแห่งชาติภูเรือเป็นภูเขาสูงใหญ่ บนยอดเขาเป็นที่ราบกว้างใหญ่ มีต้นสนขึ้นสลับซับซ้อน มีลักษณะแปลกคือ มีส่วนหนึ่งเป็นผา ชะโงกยื่นออกมาเหมือน หัวเรือสำเภาใหญ่ อุทยานแห่งชาติภูเรือ จุดที่น่าสนใจบนอุทยานได้แก่ ผาโหล่นน้อย ภูผาสาด และทะเลภูเขา ผาซับทอง หรือ ผากุหลาบขาว เป็นหน้าผาสูงชัน และแหล่งน้ำซับที่มีพืชน้ำไลเคนสีเหลืองคล้ายสีทอง ขึ้นเต็มไปทั่ว น้ำตกห้วยไผ่ เป็นน้ำตกที่ไหลจากหน้าผาสูงชัน ยอดภูเรือ เป็นจุดสูงสุดในอุทยานฯ สามารถมองเห็น แม่น้ำเหืองและแม่น้ำโขงที่กั้นพรมแดนระหว่างไทย-ลาว



10.อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว สภาพพื้นที่เป็นภูเขาสูงที่ป่าปกคลุมอากาศหนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปี การเดินทางขึ้นดอยค่อนข้างลำบาก แต่เมื่อขึ้นไปถึงแล้วจะพบดอกไม้ป่า พันธุ์ต่าง ๆ เช่น ดอกหงอนนาค ดอกไม้ดินต่าง ๆ สวยงามมาก แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ได้แก่น้ำตกภูสอยดาว และลานสน



           จริงๆ แล้วยังมีอีกหลายที่ ซึ่งมีความสวยงามและเป็นแหล่งนิยม ไม่แพ้ 10 อันดับข้างต้นที่กล่าวมาเลย ก่อนเดินทางต้องไม่ลืมดูแลสุขภาพของเพื่อน ๆ ก็จะเป็นการดีนะ เพราะอากาศในบ้านเรามีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา.....

อ้างอิง


รายนามนายกรัฐมนตรีไทยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน

รายนามนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย
      นายกรัฐมนตรีจากการรัฐประหาร
      รักษาการนายกรัฐมนตรี, รักษาราชการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี, รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี หรือปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี
      รัฐประหาร

ธงชาติของไทย   นายกรัฐมนตรีไทย   ธงชาติของไทย
(พ.ศ. 2475 - ปัจจุบัน)
ลำดับ
(สมัย)
รูปรายนามครม.
คณะที่
เริ่มวาระ
(เริ่มต้นโดย)
สิ้นสุดวาระ
(สิ้นสุดโดย)
ที่มา
1
(1-3)
101xxx.jpgประธานคณะกรรมการราษฎร
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา
(ก้อน หุตะสิงห์)
128 มิถุนายน พ.ศ. 2475
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
9 ธันวาคม พ.ศ. 2475
(ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 : เลือกตั้งทั่วไป)
(อดีตกรรมการองคมนตรี ในรัชกาลที่ 7)
210 ธันวาคม พ.ศ. 2475
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
1 เมษายน พ.ศ. 2476
(รัฐประหารโดยพระราชกฤษฎีกา)
31 เมษายน พ.ศ. 2476
(พระราชกฤษฎีกา)
21 มิถุนายน พ.ศ. 2476
(รัฐประหาร)
2
(1-5)
Phraya Phahol.jpgพลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา
(พจน์ พหลโยธิน)
421 มิถุนายน พ.ศ. 2476
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
16 ธันวาคม พ.ศ. 2476
(ลาออก)
คณะราษฎร
(ผู้บัญชาการทหารบก)
516 ธันวาคม พ.ศ. 2476
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
22 กันยายน พ.ศ. 2477
(ลาออก เนื่องจากสภาไม่อนุมัติสนธิสัญญาจำกัดยางของรัฐบาล)
622 กันยายน พ.ศ. 2477
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
9 สิงหาคม พ.ศ. 2480
(ลาออก เนื่องจากกรณีกระทู้เรื่องขายที่ดินพระคลังข้างที่)
79 สิงหาคม พ.ศ. 2480
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
21 ธันวาคม พ.ศ. 2480
(สภาครบวาระ)
821 ธันวาคม พ.ศ. 2480
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
16 ธันวาคม พ.ศ. 2481
(ยุบสภา) [1]
3
(1,2)
PPS 2.JPGจอมพล ป. พิบูลสงคราม
(แปลก พิบูลสงคราม)
916 ธันวาคม พ.ศ. 2481
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
7 มีนาคม พ.ศ. 2485
(ลาออก เนื่องจากต้องเปลี่ยนแปลงคณะรัฐมนตรีให้เหมาะสม)
คณะราษฎร
(ผู้บัญชาการทหารบก)
107 มีนาคม พ.ศ. 2485
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
1 สิงหาคม พ.ศ. 2487
(ลาออก เนื่องจากส.ส.ไม่อนุมัติร่างพ.ร.บ.และพ.ร.ก.)
4
(1)
ควง อภัยวงศ์.jpgพันตรีควง อภัยวงศ์
(หลวงโกวิทอภัยวงศ์)
111 สิงหาคม พ.ศ. 2487
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
31 สิงหาคม พ.ศ. 2488
(ลาออก เนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สิ้นสุดลง)
คณะราษฎร
5Tawee.jpgนายทวี บุณยเกตุ1231 สิงหาคม พ.ศ. 2488
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
17 กันยายน พ.ศ. 2488
(ลาออก เนื่องจากจะเปิดโอกาสให้ผู้ที่เหมาะสมเข้ามาแทน)
-
6
(1)
Mt28.jpgหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช1317 กันยายน พ.ศ. 2488
(เสนอชื่อโดยผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน)
31 มกราคม พ.ศ. 2489
(ยุบสภา)
Free Thai insignia.svg
ขบวนการเสรีไทย
4
(2)
ควง อภัยวงศ์.jpgพันตรีควง อภัยวงศ์
(หลวงโกวิทอภัยวงศ์)
1431 มกราคม พ.ศ. 2489
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
24 มีนาคม พ.ศ. 2489
(ลาออก เนื่องจากแพ้มติสภาที่เสนอพ.ร.บ.ที่รัฐบาลรับไม่ได้)
-
7
(1-3)
Statesman.jpgปรีดี พนมยงค์
(หลวงประดิษฐ์มนูธรรม)
1524 มีนาคม พ.ศ. 2489
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
8 พฤษภาคม พ.ศ. 2489
(ลาออกเพราะประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2489และให้เลือกตั้งทั่วไป)
Free Thai insignia.svg
ขบวนการเสรีไทย
-7 มิถุนายน พ.ศ. 2489
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
11 มิถุนายน พ.ศ. 2489
(ลาออก เนื่องจากการสวรรคตของรัชกาลที่ 8)
1611 มิถุนายน พ.ศ. 2489
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
23 สิงหาคม พ.ศ. 2489
(ลาออก เนื่องจากถูกใส่ร้ายป้ายสีกรณีสรรณคตของรัชกาลที่ 8)
8
(1,2)
Ztarwann.jpgพลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
(หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์)
1723 สิงหาคม พ.ศ. 2489
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
30 พฤษภาคม พ.ศ. 2490
(ลาออก เนื่องจากมีกระแสกดดันที่รุนแรง)
พรรคแนวรัฐธรรมนูญ
1830 พฤษภาคม พ.ศ. 2490
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490
(รัฐประหาร)
คณะทหารแห่งชาติ8 พฤศจิกายน พ.ศ. 249010 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490
4
(3,4)
ควง อภัยวงศ์.jpgพันตรีควง อภัยวงศ์
(หลวงโกวิทอภัยวงศ์)
1910 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490
(รัฐประหาร)
21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491
(ลาออก เนื่องจากเป็นรัฐบาลรักษาการเพื่อจัดเลือกตั้งทั่วไป)
Democrat Party logo.png
พรรคประชาธิปัตย์
2021 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
8 เมษายน พ.ศ. 2491
(ลาออก เนื่องจากคณะรัฐประหารบังคับให้ลาออกภายใน 24 ชั่วโมง)
3
(3-8)
PPS 2.JPGจอมพล ป. พิบูลสงคราม
(แปลก พิบูลสงคราม)
218 เมษายน พ.ศ. 2491
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
25 มิถุนายน พ.ศ. 2492
(ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 : เลือกตั้งทั่วไป)
-
2225 มิถุนายน พ.ศ. 2492
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494
(นำรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 กลับมาใช้อีกครั้งหนึ่ง)
2329 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494
(รัฐประหาร)
6 ธันวาคม พ.ศ. 2494
(มีการแต่งตั้งสมาชิกประเภทที่ 2 ขึ้นใหม่)
246 ธันวาคม พ.ศ. 2494
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
23 มีนาคม พ.ศ. 2495
(ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2495 : เลือกตั้งทั่วไป)
2524 มีนาคม พ.ศ. 2495
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
21 มีนาคม พ.ศ. 2500
(สภาครบวาระ)
2621 มีนาคม พ.ศ. 2500
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
16 กันยายน พ.ศ. 2500
(รัฐประหาร)
พรรคเสรีมนังคศิลา
คณะปฏิวัติ16 กันยายน พ.ศ. 250021 กันยายน พ.ศ. 2500
9พจน์ สารสิน.jpgนายพจน์ สารสิน2721 กันยายน พ.ศ. 2500
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
1 มกราคม พ.ศ. 2501
(ลาออก)
-
10
(1)
Tanom.jpgจอมพลถนอม กิตติขจร281 มกราคม พ.ศ. 2501
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
20 ตุลาคม พ.ศ. 2501
(ลาออกและรัฐประหาร)
-
11Field Marsha Salit.JPGจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์299 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
8 ธันวาคม พ.ศ. 2506
(ถึงแก่อสัญกรรม)
(ผู้บัญชาการทหารบก)
10
(2-4)
Tanom.jpgจอมพลถนอม กิตติขจร309 ธันวาคม พ.ศ. 2506
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
7 มีนาคม พ.ศ. 2512
(ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2511 : เลือกตั้งทั่วไป)
(ผู้บัญชาการทหารบก พ.ศ. 2506-พ.ศ. 2507)
317 มีนาคม พ.ศ. 2512
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514
(รัฐประหาร)
-
สภาบริหารแห่งชาติ18 พฤศจิกายน พ.ศ. 251417 ธันวาคม พ.ศ. 2515
จอมพลถนอม กิตติขจร3218 ธันวาคม พ.ศ. 2515
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
14 ตุลาคม พ.ศ. 2516
(ลาออก เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา)
-
12Sanya Dharmasakti.jpgนายสัญญา ธรรมศักดิ์3314 ตุลาคม พ.ศ. 2516
(แต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์)
22 พฤษภาคม พ.ศ. 2517
(ลาออก โดยอ้างเหตุร่างรัฐธรรมนูญไม่เสร็จ)
-
3427 พฤษภาคม พ.ศ. 2517
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518
(ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 : เลือกตั้งทั่วไป)
6
(2)
Mt28.jpgหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช3515 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
14 มีนาคม พ.ศ. 2518
(ไม่ได้รับความไว้วางใจจาก ส.ส.ในการแถลงนโยบาย)
Democrat Party logo.png
พรรคประชาธิปัตย์
13Kukrit pramoj.jpgหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช3614 มีนาคม พ.ศ. 2518
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
20 เมษายน พ.ศ. 2519
(ยุบสภา) [2]
2social.gif
พรรคกิจสังคม
6
(3)
Mt28.jpgหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช3720 เมษายน พ.ศ. 2519
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
25 กันยายน พ.ศ. 2519
(ลาออก เนื่องจากเกิดวิกฤตการณ์จอมพลถนอมกลับมาอุปสมบท)
Democrat Party logo.png
พรรคประชาธิปัตย์
3825 กันยายน พ.ศ. 2519
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
6 ตุลาคม พ.ศ. 2519
(รัฐประหาร)
คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน6 ตุลาคม พ.ศ. 25198 ตุลาคม พ.ศ. 2519
14Priminister14 of thailand2.jpgนายธานินทร์ กรัยวิเชียร398 ตุลาคม พ.ศ. 2519
(รัฐประหาร)
20 ตุลาคม พ.ศ. 2520
(รัฐประหาร)
-
15
(1,2)
Ksak.jpgพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์4011 พฤศจิกายน พ.ศ. 2520
(ผู้บัญชาการทหารสูงสุด)
12 พฤษภาคม พ.ศ. 2522
(ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2521 : เลือกตั้งทั่วไป)
-
4112 พฤษภาคม พ.ศ. 2522
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
3 มีนาคม พ.ศ. 2523
(ลาออก เนื่องจากเกิดวิกฤตการณ์น้ำมันและผู้ลี้ภัย)
-
16
(1-3)
Gen.prem tinsulanont.JPGพลเอกเปรม ติณสูลานนท์423 มีนาคม พ.ศ. 2523
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
30 เมษายน พ.ศ. 2526
(ยุบสภา) [3]
(ผู้บัญชาการทหารบก พ.ศ. 2523-พ.ศ. 2524)
4330 เมษายน พ.ศ. 2526
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
5 สิงหาคม พ.ศ. 2529
(ยุบสภา) [4]
-
445 สิงหาคม พ.ศ. 2529
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
4 สิงหาคม พ.ศ. 2531
(ยุบสภา) [5]
17
(1,2)
Chatichai.jpgพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ454 สิงหาคม พ.ศ. 2531
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
9 ธันวาคม พ.ศ. 2533
(ลาออก)
1chatthai.gif
พรรคชาติไทย
469 ธันวาคม พ.ศ. 2533
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534
(รัฐประหาร)
คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.)24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 25341 มีนาคม พ.ศ. 2534
18
(1)
Anand Panyarachun.jpgนายอานันท์ ปันยารชุน472 มีนาคม พ.ศ. 2534
(ได้รับการเสนอชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ โดย รสช.)
7 เมษายน พ.ศ. 2535
(ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2534 : เลือกตั้งทั่วไป)
-
19สุจินดา คราประยูร1.jpgพลเอกสุจินดา คราประยูร487 เมษายน พ.ศ. 2535
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
24 พฤษภาคม พ.ศ. 2535
(ลาออก เนื่องจากเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ) |
-Meechai.jpgนายมีชัย ฤชุพันธุ์24 พฤษภาคม พ.ศ. 2535
(นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง)
10 มิถุนายน พ.ศ. 2535
(มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่)
(รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทน)
18
(2)
Anand Panyarachun.jpgนายอานันท์ ปันยารชุน4910 มิถุนายน พ.ศ. 2535
(ได้รับการเสนอชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ โดยนายอาทิตย์ อุไรรัตน์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร)
23 กันยายน พ.ศ. 2535
(ยุบสภา) [6]
-
20
(1)
Chuan.jpgนายชวน หลีกภัย5023 กันยายน พ.ศ. 2535
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
13 กรกฎาคม พ.ศ. 2538
(ยุบสภา) [7]
Democrat Party logo.png
พรรคประชาธิปัตย์
21บรรหาร ศิลปอาชา1.jpgนายบรรหาร ศิลปอาชา5113 กรกฎาคม พ.ศ. 2538
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539
(ยุบสภา) [8]
1chatthai.gif
พรรคชาติไทย
22Chavalit.jpgพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ5225 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540
(ลาออก เนื่องจากเกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจ)
ตราพรรคความหวังใหม่ (เดิม)1.gif
พรรคความหวังใหม่
20
(2)
Chuan.jpgนายชวน หลีกภัย539 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544
(ยุบสภา) [9]
Democrat Party logo.png
พรรคประชาธิปัตย์
23
(1,2)
พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร.jpgพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร549 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
11 มีนาคม พ.ศ. 2548
(สภาครบวาระ)
TRTP Logo.png
พรรคไทยรักไทย
5511 มีนาคม พ.ศ. 2548
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
19 กันยายน พ.ศ. 2549
(รัฐประหาร)
คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยฯ (คปค.)19 กันยายน พ.ศ. 25491 ตุลาคม พ.ศ. 2549
24Gen.Surayuth.jpgพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์561 ตุลาคม พ.ศ. 2549
(กราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่งองคมนตรี ก่อนเข้ารับตำแหน่ง)
29 มกราคม พ.ศ. 2551
(ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 : เลือกตั้งทั่วไป)
-
25Samak.jpgนายสมัคร สุนทรเวช5729 มกราคม พ.ศ. 2551
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
9 กันยายน พ.ศ. 2551
(ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง) [10]
PPP Logo.png
พรรคพลังประชาชน
26Somchai Wongsawat 15112008.jpgนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์9 กันยายน พ.ศ. 2551
(นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง)
18 กันยายน พ.ศ. 2551
(มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่)
PPP Logo.png
พรรคพลังประชาชน
5818 กันยายน พ.ศ. 2551
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
2 ธันวาคม พ.ศ. 2551
(เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี) [11]
-Chavarat.jpgนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล2 ธันวาคม พ.ศ. 2551
(นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง)
15 ธันวาคม พ.ศ. 2551
(มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่)
(รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทน)
27Abhisit vejjajiva.jpgนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ5917 ธันวาคม พ.ศ. 2551
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
5 สิงหาคม พ.ศ. 2554
(ยุบสภา) [12]
Democrat Party logo.png
พรรคประชาธิปัตย์
28Yingluck Shinawatra.jpgนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร605 สิงหาคม พ.ศ. 2554
(มติสภาผู้แทนราษฎร)
ปัจจุบันPheuThai Logo.png
พรรคเพื่อไทย

หมายเหตุ
อ้างอิง
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2